ศบค.แจงความพร้อมเข้าสู่มาตรการผ่อนคลายระยะที่ 5 ยันมีเตียงเหลือทั่วประเทศรวมทั้งยารักษา จัด 11 กลุ่มเข้าไทย เน้นติดตามทุกคน คุมตัวเลขเป็น 0 ให้นานที่สุด แนะผับ บาร์ กิจการสีแดงอ่านแนวปฏิบัติ ฝากประชาชนเข้าสู่ชีวิตปกติพร้อมป้องกันตัวเองอย่างเข้มแข็ง ยิ่งโลกผู้ติดเชื้อลดลง เราก็กลับมาปกติโดยเร็ว
วันนี้ (1 ก.ค.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงข่าวสถานการณ์ประจำวัน ระบุว่า วันนี้เป็นวันแรกที่มีมาตรการผ่อนคลาย กลับสู่ชีวิตปกติในชีวิตวิถีใหม่ ไม่ได้มีข้อแตกต่างจากเดิม ทุกกิจการกิจกรรมที่มีความเสี่ยงในระดับที่สูง การดูแลส่วนบุคคลยังต้องทำ โดยผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ 2 ราย มาจากสถานกักกันที่รัฐจัดให้ ผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,173 ราย ป่วยหายแล้วสะสม 3,059 ราย เพิ่มขึ้น 3 ราย รักษาอยู่ 56 ราย เสียชีวิต 0 ราย สะสมรวม 58 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ประเทศไทย เดินทางมาจากคูเวต เป็นชายไทย อายุ 47 และ 48 ปี อาชีพรับจ้าง มาถึงไทยเมื่อ 29 มิ.ย. โดยพบว่าคูเวตมีอัตราการป่วยจากประเทศต้นทางมากที่สุด
สถานการณ์โลก ผู้ป่วยยืนยันสะสม 10,585,152 ราย รักษาตัว 57,788 ราย รักษาหายแล้ว 5,795,101 ราย เสียชีวิต 513,913 ราย สหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือบราซิล และรัสเซีย ส่วนประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 96 พบหลายประเทศมีผู้ป่วยรายใหม่หลักพันราย ประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ สหภาพยุโรปอนุญาตประชาชนใน 14 ประเทศ ให้เดินทางเข้ามาได้ตั้งแต่ 1 ก.ค. โดยไทยเป็นประเทศติดอันดับที่ได้รับการคัดเลือก ส่วนสรุปการใช้งานไทยชนะ ผู้ใช้งาน 32,493,784 คน กิจการ/ร้านค้าที่ลงทะเบียน 251,700 ร้าน สัดส่วนการเช็กอิน/เช็กเอาต์ ผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ 54.6% ผ่านแอปไทยชนะ 85.6% ดาวน์โหลดใช้แอปพลิเคชัน 495,118 ราย โดยกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลายในระยะที่ 5 ต้องลงทะเบียนด้วย
ช่วงตอบคำถาม เมื่อถามว่าสนามมวยสามารถจัดการแข่งขันโดยที่ไม่มีผู้ชมในสนามได้หรือไม่ ถ่ายทอดสดได้หรือเปล่า ชี้แจงว่า การแข่งขันยังจัดแข่งได้เหมือนต่างประเทศ แต่ห้ามไม่ให้มีคนดูเพราะความเสี่ยงอยู่ที่กองเชียร์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเป็นผู้กำหนด ให้ไปปรึกษาที่หน่วยงานต้นทาง ส่วนตัวเลขการติดเชื้อต่างประเทศยังอยู่ที่หลักแสนรายต่อวัน จะรับมืออย่างไร ชี้แจงว่า มีการประชุมทั้งระดับกระทรวงสาธารณสุข ล่าสุดนำเสนอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ณ ตอนนี้ ความพร้อมเรื่องเตียงทั่วประเทศ พบระดับไอซียู 571 เตียง (กทม.106 เตียง) ไม่ใช่ไอซียู 11,206 เตียง และโรงพยาบาลที่ปรับจากโรงแรม (Hospitel) 10,349 เตียง และมีความพร้อมทางเวชภัณฑ์ ทั้งหน้ากากอนามัย ชุด PPE เครื่องช่วยหายใจ และยาหลักอย่างฟาวิพิราเวียร์ 3.19 แสนเม็ด ใช้ได้ประมาณ 4.5 พันคน
มาตรการจัดการรองรับคนที่มาจากต่างประเทศอย่างไร ชี้แจงว่า มีหลากหลายกลุ่ม โดยหลักการให้ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเป็นพาหะนำเชื้อ สิ่งที่จัดการตามกฎหมาย พ.ร.บ.โรคติดต่อมี 3 วิธีการ คือ แยกกัก (Isolation) กักกัน และคุมไว้สังเกต โดยเมื่อพบว่าป่วยให้แยกกักไปเลย ส่วนกักกัน ผ่านสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine หรือ SQ และ Local Quarantine หรือ LQ) แต่ก็เคยมีแรงงานไทยที่กลับจากเกาหลีใต้ให้กักกันที่บ้านของตัวเอง (Home Quarantine หรือ Home Q) ส่วน Alternative State Quarantine (ASQ) โรงแรมหรูจับคู่กับโรงพยาบาลหรู ผู้ที่กักกันต้องจ่ายเงินเอง, Organizational Quarantine (OQ) ประเภทมาเป็นโรงเรียน ครู นักเรียนต่างชาติ และผู้บริหาร ตั้งแต่ 10-100 คน มีหอพักและโรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่จะต้องมีมาตรฐาน โดยมีหน่วยงานเข้าไปกำกับดูแล และยืนยันว่าให้อยู่แต่ด้านใน ไม่ออกมาข้างนอก และ Hospital Quaranitne (HQ) สำหรับนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เช่น มาทำศัลยกรรม เข้ามาปกติไม่ได้มีโรค แต่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล อยู่ให้ครบ 14 วัน ส่วนการคุมไว้สังเกต Closed Observation เป็นกลุ่มนักธุรกิจมาระยะสั้น เช่น มาเซ็นสัญญา 2-3 วัน โดยใช้รถส่วนตัว ต้องพักใน Alternative State Quarantine มีบุคลาการทางการแพทย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกบกันไป
ส่วนความชัดเจนในการผ่อนปรนให้ชาวต่างชาติ 6 กลุ่ม 200 คนต่อวัน ชี้แจงว่า ตามข้อกำหนดได้ออกมา 11 กลุ่มตามประกาศ อาทิ ผู้มีสัญชาติไทย สามารถกักกันได้ทั้ง SQ, LQ และ ALQ มีโควตาได้ 500-600 คน แต่ได้ลดจำนวนลงเพราะเที่ยวบินไม่เยอะ, ผู้มีเหตุยกเว้น เช่น แขกของรัฐบาล ให้ใช้วิธีคุมไว้สังเกต, บุุคคลในคณะทูต ใช้ Home Q, Self Q อยู่ในสถานทูตนั้นอย่างน้อย 14 วัน, ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น ตามแนวชายแดน ให้กลับออกไปได้เลย, ผู้ควบคุมยานพาหนะ เช่น กัปตัน แอร์โฮสเตส มีโรงแรมเฉพาะใกล้สนามบิน ใช้ ASQ ที่ทำกันอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งเป็นคู่สมรส และมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร หรือมีใบอนุญาตทำงาน ให้ใช้วิธี ASQ จ่ายเงินแล้วอยู่เอง, กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ไม่มีสัญชาติไทย ใช้ ASQ และ OQ ส่วนผู้ที่มีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในไทย ใช้ HQ และ AHQ และผู้ที่มีข้อตกลงพิเศษ ใช้ ASQ และ Closed Observation (คุมไว้สังเกต) โดย 11 กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหลักที่จะเห็นภาพในการเดินทางไปมา อาจจะเน้น Travel Bubble ให้น้อยลง เพื่อติดตามทุกคนในประเทศไทย คุมตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศให้เป็น 0 ไว้ให้นานที่สุด
ส่วน ศบค.มีมาตรการคุมเข้มกิจการสีแดงอย่างไร ชี้แจงว่า เราให้ความสำคัญตลอด แต่ประชาชนต้องทำมาหากิน มีแนวปฏิบัติตามข้อกำหนด ฉบับที่ 5 ให้ดูกิจการ/กิจกรรม เช่น ผับ บาร์ คาราโอเกะ ให้ผู้ประกอบการดาวน์โหลดและปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลัก และอ่านเพิ่มเติมในมาตรการเสริม ที่ชัดเจนก็คือ ต้องมีการจัดระบบเก็บข้อมูล ติดตาม ห้ามเต้น เปลี่ยนปลอกหุ้มไมโครโฟน ซึ่งมีหลากหลายในนั้น รวมทั้งงดพนักงานเชียร์เบียร์ งดรายการส่งเสริมการขายทุกประเภท โดยมีเจ้าหน้าที่จะไปตรวจพร้อมแอปฯ “ผู้พิทักษ์ไทยชนะ” เพื่อป้องกันการแอบอ้าง ขอให้มั่นใจในระบบและร่วมมือ และกรณีพบไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ในประเทศจีน มีมาตรการรองรับอย่างไร ชี้แจงว่า ช่วงนี้เป็นฤดูกาลของไข้หวัดใหญ่ สิ่งสำคัญที่สุดคือป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะทางเดินหายใจ หากใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ อยู่ห่างกันทำได้จริง ไม่ใช่แค่โควิด-19 ไข้หวัดใหญ่แบบอื่น ก็ถูกจัดการแบบเดียวกัน แต่ถ้าติดต่อในทางอื่น เช่น ไข้เลือดออก ก็ต้องไปช่วยเพิ่มเติมในด้านนั้นด้วย โดยไข้หวัดใหญ่ที่เป็นข่าว ใช้วิธีนี้ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวทิ้งท้ายว่า ศบค.ห่วงใยการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 เราทำได้ดีทั้ง 4 ระยะแล้ว ฝากประชาชนทุกคนกลับมาสู่ชีวิตวิถีใหม่ ชีวิตปกติ ที่เราทำมาหากินเหมือนเดิมได้ทุกอย่าง จะคงสภาพนี้ได้นานแค่ไหน ขณะที่ต่างชาติติดเชื้อทะลุ 10 ล้านคน ขึ้นอยู่กับคน 60 ล้านคนของเราที่ทำงานอย่างเข้มแข็ง และป้องกันตัวเองอย่างเข้มแข็งไปพร้อมกัน เราจะมีเศรษฐกิจที่แม้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่หมุนเวียนในประเทศ มีคนสะอาดปลอดเชื้อในประเทศ ทำมาหากินในประเทศก็มีความสุขแล้ว ขอให้รักษาความสะอาด ความปลอดภัย สุขอนามัย มีกินก็แบ่งปันกันใช้ในประเทศ ถ้าโลกลดการติดเชื้อ เราก็กลับมาปกติโดยเร็วเท่านั้น ขอแรงใจกาย และความร่วมมือจนกว่าสถานการณ์โลกจะพ้นวิกฤต