xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งกว่าปีศาจ! “ดร.นิว” จุดประกาย “ธุรกิจการเมือง” ครอบงำการเมืองไทย “จอม” ซูฮก “อุทัย” ยึด ปชต.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ จากเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ
ได้เวลา “คิดสังเคราะห์” 88 ปี การเมืองไทย “ดร.นิว” จวกคณะราษฎร หน้าฉาก “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ไส้ในซ่อนรูป “เผด็จการ” กลายพันธุ์สู่ “ธุรกิจการเมือง” ทุกวันนี้ “จอม” ซูฮก “อุทัย” กล้ายึดมั่น ปชต.ไม่เสื่อมคลาย

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 มิ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ของ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์หัวข้อ “#ระบอบเผด็จการตัวจริงธุรกิจการเมือง”

เรื่องนี้มีบางส่วนบางตอนที่น่าคิดวิเคราะห์อย่างมาก โดยเฉพาะที่ขอหยิบยกมานำเสนอ

“จากการที่คณะราษฎรทำการปล้นพระราชอำนาจและฉกฉวยอธิปไตยของปวงชนมาเป็นของคณะตัวเอง ได้ก่อให้เกิดลัทธิรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม แต่ไส้ในกลับเป็นเผด็จการภายใต้อิทธิพลของคนกลุ่มน้อย ด้วยการใช้รัฐประหารเป็นเครื่องมือในการแย่งชิงอำนาจ และรัฐธรรมนูญในการรักษาอำนาจ เป็นรัฐธรรมนูญของเผด็จการ

อันจะเห็นได้จากความขัดแย้งของคณะราษฎรด้วยกันเองตั้งแต่ในสมัยนั้น และความล้มเหลวของประชาธิปไตยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

แม้เวลาจะผ่านไป และมีการเข้ามาของกระแสทุนนิยมที่เป็นระบอบเศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์ ระบอบเผด็จการในประเทศไทยหรือลัทธิรัฐธรรมนูญเอง ก็ได้มีการวิวัฒนาการโดยการเปลี่ยนรูปแบบไปเพื่อความอยู่รอดและรักษาระบอบเผด็จการ

ในยุคปัจจุบันหน้าตาที่แท้จริงของระบอบเผด็จการ จึงอยู่ในรูปแบบของ “ธุรกิจการเมือง” ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า แทบทุกพรรคการเมืองในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ตัวแทนของประชาชนกลับกลายเป็นร่างทรงของนายทุนพรรคการเมือง และท้ายที่สุดไม่ว่าพรรคไหนหรือฝ่ายใดจะได้มาเป็นรัฐบาลก็อยู่ในรูปแบบของ “ธุรกิจการเมือง” ไม่แตกต่างกัน เพราะต่างก็เอาประโยชน์ของพี่น้องประชาชนมาบังหน้า แล้วบริหารจัดการแบบเล่นพรรคเล่นพวกโดยมีผลประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นตัวตั้ง หาใช่ประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้งอย่างที่ได้กล่าวอ้างกันในเวลาหาเสียงไม่

ฉะนั้น ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน ผมจึงเคลื่อนไหวในฐานะของประชาชนคนหนึ่งที่ไม่ได้ฝักใฝ่พรรคการเมืองใด ด้วยความที่ไม่มีพรรคการเมืองใดที่มีอุดมการณ์ที่ชัดเจน และสอดคล้องกับอุดมการณ์ทางการเมืองของผม

บทบาทสำคัญที่ผ่านมา จึงเน้นไปที่การออกมาต่อต้านทายาทสายตรงของลัทธิรัฐธรรมนูญ 2475 ที่พยายามหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการก่อความรุนแรง ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เลวร้ายยิ่งกว่า “ธุรกิจการเมือง”

เพราะเห็นชีวิตผู้บริสุทธิ์เป็นผักปลา สามารถใช้โซเชียลมีเดียระดมปลุกปั่นหลอกใช้เป็นเครื่องมือได้อย่างไม่มีความละอายใจใดๆ ในขณะที่นักระดมปลุกปั่นแกนนำประชาธิปไตยจอมปลอมเหล่านี้ นั่งตากแอร์อยู่หลังหน้าจอคอมพิวเตอร์

แต่อย่างไรก็ตาม... “ธุรกิจการเมือง” ในฐานะระบอบเผด็จการตัวจริง ก็ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะถ้า “ธุรกิจการเมือง” ยังดำเนินอยู่เช่นนี้ ไม่ว่าใครหรือฝ่ายใดเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จะยังคงเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการอยู่ร่ำไป

หากต้องการที่จะสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริงและจับต้องได้ ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการล้มล้าง “ธุรกิจการเมือง” แล้วทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน สร้างการเมืองใหม่ที่เป็น “การเมืองภาคประชาชน” ขึ้นมา

เปลี่ยน “ธุรกิจการเมือง” เป็น “การเมืองภาคประชาชน” “การเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” เพราะ “การเมืองภาคประชาชน” นี้เท่านั้น ที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเป็นทางออกเดียวของพี่น้องประชาชนไทยทั้งประเทศ นำไปสู่ “การกระจายอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง” โดยการมีผู้แทนของประชาชนที่คิดถึงผลประโยชน์ของประชาชนด้วยกันเป็นที่ตั้ง ทำงานอยู่ในรัฐสภาด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ในการเป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นกระบอกเสียงของพี่น้องประชาชน แทนที่จะเป็นร่างทรงของนายทุนพรรคการเมือง และทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชนด้วยกัน ไม่ใช่ “การกระจายอำนาจทางการปกครองที่แอบแฝงการล้มล้างการปกครอง” ของเครือข่ายอนาคตใหม่

นี่เป็นตัวอย่างของการบิดเบือนเรื่องการกระจายอำนาจที่เครือข่ายอนาคตใหม่ไม่มีความเข้าใจว่า การกระจายอำนาจมันกระจายอยู่แล้วในตัวมันเอง เพียงแต่ทุกวันนี้มันเป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ผู้แทนไม่ได้เป็นกระบอกเสียงของประชาชน แต่กลับเป็นกระบอกเสียงของนายทุนพรรคการเมือง

เอาง่ายๆ แม้แต่อดีตพรรคอนาคตใหม่เอง ก็มีนายทุนพรรค มีการแบ่งแยกชนชั้นภายในพรรค การโหวตก็ต้องโหวตตามใบสั่งของนายทุนพรรค ไม่งั้นก็จะมีปัญหา และท้ายที่สุดพรรคอนาคตใหม่ก็ล่มสลายด้วยการครอบงำพรรคของนายทุนพรรคที่ผิดกฎหมายการเงินของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน

แม้ทุกวันนี้อนาคตใหม่จะแปลงร่างเป็นพรรคก้าวไกลกับคณะก้าวหน้า แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ใครอยู่เบื้องหลัง แถมยังเคลื่อนไหวประสานงานกันทั้งบนดินและใต้ดิน แต่ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ก็ยังคงเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ที่ขาดความรู้และความเข้าใจทางการเมือง มีแต่ปริมาณในโลกโซเชียลเพื่อหลอกใช้มวลชน แต่ไม่ได้มีคุณภาพ จ้องแต่จะคอยปลุกม็อบรายวัน เป็นการเมืองแบบผิดๆ ที่ยัดเยียดความวิปริตบิดเบือนของลัทธิรัฐธรรมนูญอันคับแคบ ความเกลียดชัง และความรุนแรงให้กับสังคมไทย...

แต่อย่างไรก็ดี ล่าสุด ผมก็แอบมีความหวังต่อการเคลื่อนไหวของคุณหมอวรงค์ เดชกิจวิกรม ที่กำลังจะตั้งกลุ่มการเมืองขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการต่อต้านเครือข่ายอนาคตใหม่ หรือลัทธิรัฐธรรมนูญ และให้ความรู้ความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนเพื่อผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันกับอุดมการณ์ทางการเมืองของผมตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น

อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณหมอวรงค์ในการทำการเมืองที่สร้างสรรค์ ผมเชื่อว่า ด้วยศักยภาพและความรู้ความสามารถของคุณหมอวรงค์ หากองค์ประกอบอื่นๆ เป็นใจ ก็คงได้เห็นคุณหมอวรงค์สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมไทยในอนาคตอันใกล้นี้”

ภาพ นายชวน หลีกภัย จากแฟ้ม
ก่อนหน้านี้ ไม่กี่ชั่วโมง เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan
โพสต์หัวข้อ “เห็นด้วยกับท่านชวน...” มาแล้ว

โดยระบุว่า ผมคนหนึ่งก็เห็นด้วยว่า “ธุรกิจการเมือง” เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย และก็รู้สึกเสียใจที่แทบทุกพรรคการเมืองในปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็น “ธุรกิจการเมือง” ที่ตัวแทนของประชาชนกลับเป็นร่างทรงของนายทุนพรรค

ดังนั้น ผมจึงยังไม่มีพรรคการเมืองในดวงใจที่อยากจะสนับสนุน ด้วยเหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับ “ธุรกิจการเมือง”

และผมศรัทธาใน “การเมืองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน”

ทั้งนี้ ดร.นิว ได้แชร์ ประเด็น “ธุรกิจการเมือง” มาจาก
Thailand Vision

หลังจากวานนี้ ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวให้โอวาทกับข้าราชการรัฐสภา เนื่องในโอกาสครบ 88 ปี รัฐสภา ว่า เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านดีและด้านลบในระบอบประชาธิปไตย และระบอบรัฐสภาไทย ซึ่งถือว่าไม่ราบรื่นนัก แต่ได้เห็นความตื่นตัวของประชาชนเรื่องประชาธิปไตยชัดเจนขึ้นในทุกลำดับ เป็นไปตามสถานการณ์และการแสดงออก ส่วนปัญหาการทุจริตทั้งจากข้าราชการและนักการเมืองนั้น แม้บุคคลนั้นๆจะจบการศึกษาสูงๆ และมีกฎหมายที่ดีคอยควบคุม แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้

“เพราะปัญหาอยู่ที่ภาคปฏิบัติ คือ พฤติกรรมของตัวบุคคล ปัจจุบันพบว่า มีธุรกิจการเมืองเกิดขึ้น มีการซื้อเสียงที่หวังเข้ามาหาทุนคืน ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งใครมีเงิน ก็ชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จึงได้ของบประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันพระปกเกล้า เขียนหลักสูตรสร้างการเมืองที่สุจริต เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ทุกส่วนได้ศึกษาและเป็นภูมิต้านทานป้องกันปัญหาธุรกิจการเมือง แม้จะทำได้ยากจริงในยุคนี้ แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”...

ภาพ นายอุทัย พิมพ์ใจชน จากแฟ้ม
ด้าน เฟซบุ๊ก Jom Petchpradab ของ นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ ลี้ภัยในสหรัฐอเมริกา ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเช่นกัน ว่า

“เปรียบนักการเมืองรุ่นเก่า กับรุ่นปัจจุบัน ผมเองยังให้การยอมรับนับถือนักการเมืองรุ่นเก่าอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ส่วนมาก เพราะนักการเมืองรุ่นเก่าส่วนมากที่อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ก็เห็นยังกระสันอยากมีอำนาจเพียงเพื่อประโยชน์เฉพาะตัว เพื่อวงศ์ตระกูล เพื่อพรรค หรือเพื่อพื้นที่ตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่หวังจะสร้างความก้าวหน้า สร้างความก้าวไกลให้กับสังคมการเมืองแบบประชาธิปไตยในส่วนรวมสักเท่าไหร่

ยกเว้น คุณอุทัย พิมพ์ใจชน คนนี้ แม้จะเป็นนักการเมืองรุ่นเก่าแต่ความคิด หลักการของการเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ยังชัดเจน หนักแน่นมั่นคงอยู่เสมอ

เข้าใจได้แหละว่า ทำไมนักการเมืองรุ่นใหม่ส่วนมาก ถึงยังขาดความกล้าหาญ มั่นคงในหลักการประชาธิปไตย อาจเพราะคือผลผลิตที่ถูกสร้าง ถูกล้างสมองมาจากชนชั้นผู้มีอำนาจ ที่ได้กัดกร่อน ทำลายล้างทำลายอุดมการณ์ประชาธิปไตยแท้จริง ที่ถูกสร้าง เมื่อ 88 ปีที่แล้ว ให้ค่อยๆหมดไปก็เป็นได้

ความไม่เข้าใจลึกซึ้ง และความกลัว จึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ ทำให้นักการเมืองที่มีอุดมคติของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงมีน้อย (แต่จะว่าไป ตลอด 88 ปี นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยจริงๆ เป็นเสียงข้างน้อยมาตลอด อยู่แล้ว)

ประเด็นก็คือ ไม่ว่าฝ่ายไหน ต่างก็รู้อยู่เต็มอกว่า ปัญหาใหญ่ของการเมืองไทยอยู่ที่ไหน และ คำว่า “ธุรกิจการเมือง” ก็พูดกันมานานแล้ว รวมทั้งสาเหตุเกิดจากอะไร ก็แทบไม่ต้องสาธยายให้เปลืองพื้นที่สื่อ เพราะไม่มีใครปฏิเสธสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่เลย

คำถามอยู่ที่ว่า “นักการเมือง” จะช่วยกันสร้างสรรค์อย่างไร เพื่อให้หลุดพ้นจากการตกเป็น “ทาสนายทุนทางการเมือง” หรือเลิกเล่นการเมืองแบบ “หาผลประโยชน์” เข้าตัวเอง พรรคพวก ครอบครัว และวงศ์ตระกูล ดีกว่าที่จะมาร้องเรียกเพรียกหาสิ่งอื่น ที่แอบอ้างเพื่อให้ตัวเองสามารถต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ โดยที่ไม่เห็นหัว “ประชาชน” และมักแอบอ้างประชาชน มานานนับ 88 ปีเข้าให้แล้ว คิดได้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย และถ้ายิ่งเริ่มทำอะไรสักอย่างตั้งแต่วันนี้ เชื่อว่ายังไม่สายเกินไปอย่างแน่นอน เพราะ 88 ปียังทนได้ จริง-ไม่จริง?


กำลังโหลดความคิดเห็น