“ไม่กลัว” กันแล้ว หลัง “ลุงตู่” บอกไม่ใช้ ม.112 “อานนท์-ชลธิชา” ร้องตรวจสอบงบเกี่ยวกับสถาบัน ด้าน “เจี๊ยบ ก้าวไกล” เหิมหนัก โทษ “เผด็จการและเบื้องหลัง” สร้างคนอย่าง “ทอน-บูด-โรม” และพวกตน #saveโรม
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (20 มิ.ย. 63) เฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา แชร์ ทวิตเตอร์ prachatai@prachatai ที่ทวีตวานนี้ ข้อความ ระบุว่า
“14.00 น. อานนท์ นำภา และ ชลธิชา แจ้งเร็ว มายื่นข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและชี้แจงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงาน กพร.”
วันนี้เช่นกัน เฟซบ๊ก Amarat Chokepamitkul ของ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความระบุว่า
“อย่าคิดว่าจะกดหัวได้ตลอดไป ไม่ใช่เผด็จการและเบื้องหลังหรอกหรือ ที่สร้างคนอย่าง ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ สร้างคนอย่างโรมอย่างพวกเราให้เข้ามาอยู่ตรงนี้
#อนาคตใหม่ #ก้าวไกล #ไม่กลัว”
“สนับสนุนและจะยืนเคียงข้างโรมตลอดไป
#saveโรม”
“จะมีรัฐบาลไปทำไมถ้าประชาชนต้องมา save กันเอง”
เช่นเดียวกันกับ เฟซบุ๊ก การเมืองไทย ในกะลา โพสต์ข้อความที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โพสต์เป็นกำลังให้ “โรม” ว่า
“รังสิมันต์ โรม ทำทุกอย่างที่ผู้แทนราษฎรที่แท้จะทำ เป็นเสียงให้กับผู้ไร้เสียง ปกป้องชีวิต สิทธิ และเสรีภาพของประชาชน
ผมภูมิใจในตัวเขา และผมเชื่อว่า ประชาชนจะยืนเคียงข้างเขา
ผมยืนเคียงข้างโรม”
#saveโรม
Rangsiman Rome did what every true representative of the people would have done; be the voice of the voiceless, protector of people’s lives, rights and freedom.
I am proud of him, and I believe the people will stand by him.
I stand by Rome
#saveโรม
Thanatorn Juangroongruangkit
19 June 2020
https://twitter.com/Thanathorn_FWP/status/1273892968659709952?s=09
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแส “#saveโรม” ยังมีนักเคลื่อนไหวอีกหลายคน ออกมาโหนกระแส อยากให้ #save เช่นกัน
กล่าวคือ กรณี นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก พริษฐ์ ชิวารักษ์ ว่า
“ได้รับแจ้งมาว่า ผมอยู่ในรายชื่อคนที่ถูกจับตาว่าจะต้องโดน “จัดการ” (ไม่รู้ว่าหมายถึงทำร้ายหรือแจ้งความคดีหนักๆ) อันได้แก่ ผม พี่โรม พี่โตโต้ และพี่อานนท์
ซึ่งคิดว่า ก็มีมูล เพราะหลังๆ นี้ มีตำรวจทหารติดตามผมแปลกๆ บ่อยเหลือเกิน เมื่อวานระหว่างผมเดินทางจากทำเนียบไปรัฐสภา มีตำรวจ-ทหาร ตามสะกดรอยร่วม 10 คนได้ ถึงขั้นขับรถมอเตอร์ไซค์ตาม เดชะบุญว่า เข้าอาคารรัฐสภาไปแล้วคงไม่กล้าเข้ามาตามต่อเลยหายไป วันก่อนไปบางขุนเทียนริมทะเล ก็ยังจะอุตส่าห์ขับรถตามไปถึงบางขุนเทียน ไม่รู้ตามมาดูอะไร
เร็วๆ นี้ ก็ได้รับคำเตือนแปลกๆ จากเจ้าหน้าที่ ประเภทว่ามีคนไม่พอใจ จ้องจะทำร้ายและอาจจะเอาถึงชีวิต ขอให้เพลาๆ ลง อย่าไปแตะเรื่องไม่ควรแตะ อันนี้ก็ต้องดูต่อไป เพราะว่าช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว ผมก็ถูกขู่ฆ่าเหมือนกัน ตอนที่จ่านิวโดนทำร้าย ครั้งนั้นมีข่าวมาก่อนจ่านิวจะโดน ว่า “เขา” จะเอา 2 คน ได้แก่ จ่านิว กับผม ครั้งนั้นโชคดีว่าผมรอดตัวไป แต่ก็อ่วมไม่น้อย โดนโทร.มาขู่ทุกวัน โดนเอาทะเบียนบ้านมาเปิด ครั้งนี้ก็คงโชคดีเหมือนครั้งที่แล้ว (ล่ะมั้ง)
เอาเป็นว่า ถ้าผมเป็นอะไรก็ขอให้รู้นะครับว่าใครสั่ง จำคนร้ายตัวจริงให้ถูกครับ ส่วนในเรื่องกิจกรรม ก็จะดำเนินต่อไปเหมือนเดิมครับ คนเราเกิดมาครั้งเดียวก็ตายครั้งเดียว ก็จะเอาให้สุดครับ”
ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ในวันเดียวกันนี้ ระบุว่า “ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้นะครับส่งเข้ามาล้นหลามมากเลย แต่ก็พยายามอ่านทั้งหมดและรู้สึกอบอุ่นใจมาก ขอรับปากทุกคนว่าจะยังคงทำหน้าที่ให้คุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นภาษีของพี่น้องประชาชนครับ #Saveประเทศไทย”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 เวลา 14.00 น. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กับข่าวสดออนไลน์ กรณีที่มีกระแสในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ที่มีการติดแฮชแท็ก #saveโรม มากกว่า 6 แสนครั้ง จนขึ้นเป็นเทรนด์อันดับหนึ่งประเทศไทย หลังจากที่ได้ออกมาเคลื่อนไหวในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนเกิดกระแสว่า อาจจะถูกเพ่งเล็ง จากทั้งการติดตามคดีอุ้มหาย วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองกลางกรุงพนมเปญของกัมพูชา เมื่อไม่นานนี้ หรือย้อนกรณีคดี “ป่ารอยต่อ” จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภา และล่าสุด ในชั้นกรรมาธิการ กรณี “หมู่อาร์ม”
โดย นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้รับข่าวสารและได้เห็นคนพูดถึงเรื่องนี้มาบ้างแล้ว โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ ซึ่งในตอนนี้ตนยังคงทำหน้าที่ได้ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และยังไม่ได้เจอภัยหรือสถานการณ์ใดที่หลายคนกังวล ซึ่งตนเข้าใจว่า ความกังวลนี้ไม่ได้หมายถึงตอนนี้ แต่อาจจะหมายถึงเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจพูดยากว่าตนจะปลอดภัย ในตอนนี้คิดแค่ว่าในส่วนที่ตนกำลังทำนั้นเป็นหน้าที่ที่คนเป็นผู้แทนราษฎรพึงกระทำ
และพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็พยามจะปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ตนก็เป็นเพียงนักการเมือง ไม่ใช่คนที่ถูกฝึกมาเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่ต้องเจอกับภัยคุกคามในระดับที่อาจจะอันตรายขนาดนั้น....
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์ในทำนอง “รู้ทันภารกิจ 2475 ปลุก#Save112” หัวข้อ “ภารกิจ 2475” ซึ่ง อดีตพรรคการเมืองบางพรรค และกลุ่มการเมืองกลุ่มใหญ่ ใช้เป็นเจตนารมณ์ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ
เนื้อหาระบุว่า “วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง จากอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินของสถาบันพระมหากษัตริย์ มาสู่คณะชนชั้นนำที่เรียก “คณะราษฎร” ซึ่งแกนนำส่วนใหญ่เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลไทย ที่ไปศึกษาที่ฝรั่งเศส
ข้อสังเกตของการปฏิวัติครั้งนั้น เป็นแนวคิดจากชนชั้นนำ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ ที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” โดยมีการวางแผนกันตั้งแต่ฝรั่งเศส และใช้กองกำลังทหารเป็นฐานใหญ่ มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งไม่ได้มาจากฐานรากของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาการกดขี่ข่มเหง ความอดอยากแร้นแค้นของประชาชน เหมือนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในหลายประเทศ
ดังนั้น อำนาจที่ได้มาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อหวังให้การบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อความอยู่ดีกินดี การศึกษาที่ดี ความผาสุกของประชาชน จึงวนเวียนแต่ในชนชั้นนำ และก็เป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรอำนาจ นั่นคือ การแย่งชิงอำนาจของแกนนำคณะราษฎร ซึ่งคือต้นตอของการรัฐประหารของกองทัพเป็นต้นมา
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของ “ประชาธิปไตย” นั้นล้มลุกคลุกคลานมาตลอด เพราะการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกองทัพและนักการเมือง จนกระทั่งมีการเกิดรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และเกิดรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เข้มแข็ง จนสังคมไทยไม่มีใครเชื่อว่า จะมีการรัฐประหารเกิดขึ้น
ใครจะไปคิดว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เข้มแข็ง ประกอบกับกระแสสังคมโลกที่ต่อต้านการรัฐประหาร จะเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันถึงสองครั้ง ในปี 2549 และปี 2557 เพราะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นล้วนมาจากเครือข่ายเดียวกัน สร้างปัญหาไม่ต่างกันนั่นคือ การโกงทั้งโคตร และโคตรโกง ใช้อำนาจไม่ชอบ แบ่งแยกประชาชน จาบจ้างเบื้องสูง ออกกฎหมายล้างผิด ถึงขนาดมีประชาชนออกมาร่วมกันชุมนุมขับไล่ และนำไปสู่การรัฐประหาร
ดังนั้น ทางออกประชาธิปไตยของไทย ในวันที่สังคมโลกไม่เอาการรัฐประหาร ไม่ต้องไปโทษทหาร ทุกอย่างอยู่ที่นักการเมือง ถ้านักการเมืองทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ทหารทั้งกองทัพก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนนักการเมืองคนไหนที่บอกว่า ภารกิจ 2475 ยังไม่สำเร็จ ยังมีประเด็นที่จะคุยให้ฟังต่อไป
#save112”
จากโพสต์ทั้งสองฝ่าย เห็นได้ชัดอยู่ในทีว่า มีความพยายามจะทำอะไรในทางการเมืองบ้าง แน่นอน, ฝ่ายหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาที่จะโจมตีฝ่ายอำนาจเผด็จการ และคนที่พวกเขาเชื่อว่า “อยู่เบื้องหลัง” อย่างเอาเป็นเอาตาย และมองปัญหาทุกอย่างมีต้นเหตุมาจากเผด็จการทั้งสิ้น
ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน ก็ต้องบอกว่า เหมือนแค้นกันมาเป็น 10 ชาติก็ไม่ปาน!
นั่นคือ “ยุทธศาสตร์” ที่ตั้งเป้าเอาไว้แล้วว่าจะต้อง “ล้ม” ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน แต่อนาคตอันใกล้มันคือความท้าทายอยู่เสมอ...
อีกฝ่าย ก็พยายามจะต่อต้าน และปกป้องสถาบันหลักของชาติบ้านเมืองเอาไว้ เพราะเห็นอุดมการณ์ทางการเมือง และพฤติกรรมของคนบางกลุ่ม ส่อว่า ต้องการล้มล้าง เพื่อข้ออ้างที่จะนำพาประชาชนไปสู่ “ประชาธิปไตย” ที่ดีกว่า “ประชาธิปไตย” ที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อถือศรัทธา
แน่นอน, โพสต์ของ “หมอวรงค์” ก็คือตัวอย่างหนึ่ง
ดังนั้น ไม่แปลก ที่จะมีการ ติด #save ทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายแรก เชื่อว่า ถูกกระทำจากผู้มีอำนาจเหนือ แต่ฝ่ายหลังเชื่อว่า เป็นเกมต่อสู้ เพื่อ “ล้มล้าง” จึงใส่ร้ายป้ายสี สร้างเรื่อง อะไรประมาณนั้น และจำเป็นต้อง #save ด้วย นี่คือ ประเด็น
ทั้งยังเป็นประเด็นใหญ่ที่เหมือนระเบิดเวลาของสังคมไทยเลยทีเดียว หรือว่าไม่จริง!?