“ชาญวิทย์” มาแปลก ชม “ปู” มีเสน่ห์จนหญิงชาวกรุง “ฤษยา” ให้ตายคิดอะไรอยู่? “ตู่-จตุพร” ยอมรับ “ฝ่ายค้าน” ไม่มีทางสู้รัฐบาล “ลุงตู่” ได้ เพราะรัฐธรรมนูญ 60 เอื้อครองอำนาจ ส่วน “เสื้อแดง” อ่อนแอมาตั้งแต่ปี 54 ปี 57 แทบไม่เหลือสภาพ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 พ.ค. 63) เฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ของ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความระบุว่า
“Yingluck & 22 May 2014 coup
คุณยิ่งลักษณ์ ต้องกระเด็นไป ในที่สุด
เพราะผลรัฐประหาร 22 พฤษภา 2557 และตุลาการภิวัตน์ โดยทหาร และผู้พิพากษา
คุณยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่คนสวย แต่มีเสน่ห์ แบบคนเหนือ
ทำให้ผู้ดี โดยเฉพาะ หญิงชาวกรุง ฤษยา...”
ด้าน “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์รายการ PEACE TALK ครบ 6 ปี การรัฐประหาร เมื่อ 22 พฤษภา 2557 ตอนหนึ่งว่า
“วันนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ นำทหารยึดอำนาจ คณะรัฐประหารชุดนี้จะไปดูแคลนไม่ได้ เพราะได้บทเรียนการเสียของจากยึดอำนาจเมื่อปี 2549 จึงแก้ไขไม่ให้บทเรียนเสียของเกิดซ้ำขึ้นอีก ทหารควบคุม สกัดฝ่ายต่อต้านจนขยับตัวไม่ได้ ซึ่งสะท้อนถึงระบบคิดที่เตรียมการมาเสร็จ ทั้งการบริหารจัดการ ผ่อนคลาย ร่างรัฐธรรมนูญ มี ส.ว.มาค้ำอำนาจรัฐบาล เพื่อไม่ให้พรรคการเมืองอีกฝ่ายสู้ได้เลย
แม้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.มามาก แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ อีกทั้งการออกแบบตั้งพรรคหลายพรรคมาสู้ก็ยังลำบาก และเอาชนะได้ยาก เราเห็นบทเรียนแล้วว่า การสูญเสียประชาธิปไตยรอบนี้ยากที่จะเอาคืน และการเลือกตั้งภายใต้กติกา รัฐธรรมนูญ 2560 แม้ชนะในสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าเป็นรัฐบาลก็จะแพ้ในวุฒิสภา
ประเทศนี้จะแก้ไขปัญหาชาติใดๆ ไม่ได้เลย รวมทั้งการแก้รัฐธรรมนูญ แทบเป็นไปไม่ได้ สำหรับรัฐบาลขณะนี้ ต้องรักษาชัยชนะสำคัญคือ โควิด-19 แต่ปัญหาทางเศรษฐกิจไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้ง่ายๆ ดังนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กับ โควิด และการเยียวยาปากท้อง ในที่สุดจะพบทางตันมากขึ้น และคนไทยจะยิ่งยากลำบาก
นายจตุพร กล่าวว่า ช่วงครบรอบ 6 ปีนั้น สิ่งหนึ่งที่ยังดำรงอยู่ คือ ต่างฝ่ายต่างยึดความเชื่อของตัวเองเป็นหลัก และไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอความเห็น ความทุกข์โดยรวมของประเทศ อาจเป็นหนทางให้ความคิดของคนแต่ละฝ่ายเปลี่ยนแปลงกันไปได้ เพราะความทุกข์จากความหิวโหย แม้มีความคิดทางการเมืองต่างกัน แต่เป็นความหิวที่เหมือนกัน ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งสองฝ่าย
ส่วนทางออกของประเทศ ต้องก้าวข้ามกับดักกติกาตามรัฐธรรมนูญ 2560 ไปให้ได้ ต้องมาคุยออกแบบกัน จะแสวงจุดร่วมกันอย่างไรที่จะเป็นทางออกให้ประเทศอย่างแท้จริง ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาบ้านเมืองไม่จบ การยุบสภาไม่ใช่ทางออกของประเทศ ดังนั้น การสูญเสียประชาธิปไตยรอบนี้ ถือว่าเจ็บลึกที่สุด
“หากฝ่ายประชาธิปไตยคิดกันแบบเดิมแล้ว จะไม่มีทางพาประเทศข้ามพ้นวิกฤตไปได้ ยิ่งวันข้างหน้าในระยะอันใกล้นี้ต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และแก้ไขได้ยากยิ่ง สภาพทุกอย่างไม่เอื้ออำนวยให้ประเทศไทยได้ฟื้นตัวเลย ต้องอาศัยความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น ทั้งในประเทศและเพื่อนบ้านอาเซียน เพื่อช่วยกันประคับประคองและอยู่ร่วมกับโควิด-19 ให้ได้กันเป็นปี หากรอให้สิ้นโควิดคนไทยอาจตายกันหมดก็ได้
ด้วยเหตุนี้ ทางรอดคือ ตั้งแต่วันนี้เราต้องมีชีวิตอยู่พร้อมๆ กับโควิด-19 ให้ได้ ซึ่งใครก็รอใครไม่ได้ ครบรอบ 6 ปี 22 พ.ค. 2557 ผมเชื่อว่า คนไทยคงเข็ดหลาบไปตามๆ กัน เราได้บทเรียนที่ทรงคุณค่าที่สุด ที่สำคัญ ฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่เข้าข้างตัวเองทุกเวลา
ผมบอกว่า ขบวนการเสื้อแดงเริ่มอ่อนแอตั้งปี 2554 เป็นต้นมา และปี 2557 แทบไม่เหลือสภาพแล้ว การต่อสู้จึงยากลำบาก เราต้องไม่โกหกตัวเองกัน อะไรที่ใช่ก็คือใช่”
แน่นอน, โพสต์ของ “ตู่-จตุพร” มีหลายประเด็นที่ปะปนกัน ที่สำคัญก็คือ ภาพสะท้อนการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ที่นอกจาก “กติกา” หรือ รัฐธรรมนูญ 60 และ ส.ว.แต่งตั้ง จะเอื้อต่อฝ่ายรัฐบาลแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ “จตุพร” ไม่ได้พูดถึง และนักวิเคราะห์การเมือง เคยพูดมาตลอด ก็คือ ฝ่ายค้านหลัก อย่างเพื่อไทย และอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่เป็นเอกภาพในการต่อสู้ทางการเมือง ฝ่ายอดีตพรรคอนาคตใหม่ เน้นไปที่โค่นล้มโครงสร้างหลักของประเทศมากเกินไป และหลายประเด็นก็หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นเบื้องสูง จนยากที่พรรคอื่นจะเดินตามได้ ต่อให้เห็นด้วย แต่ก็แสดงออกไม่ได้ จึงทำให้อดีตพรรคอนาคตใหม่แหลมไปคนเดียว
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง ก็ดูเหมือนไม่มีพลังที่จะต่อสู้เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจมาจากส่วนหัวที่หายไป เพราะไม่มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระดับนำของพรรค
อีกส่วนเป็นเรื่องภายในพรรค ซึ่งมีปัญหาแก่งแย่ง หรือ ชิงการนำกันอยู่ไม่น้อย ที่เปิดเผยออกมา ก็คือ ความขัดแย้งระหว่าง คุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค กับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลรัฐบาลลุงตู่ นัยว่า นายทักษิณ ชินวัตร อนุมัติเปลี่ยนผู้นำที่จะสู้ศึกซักฟอก โดยมอบให้ ร.ต.อ.เฉลิม มาดำรงตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์พรรคแทน “คุณหญิงสุดารัตน์” นั่นเอง
ขณะเดียวกัน ส.ส.อีสาน ยังนำความไปฟ้อง “นายใหญ่” ถึงปัญหาที่ ส.ส.อีสาน ไม่เอา “คุณหญิงสุดารัตน์” ด้วย และฟางเส้นสุดท้าย ก็คือ ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 7 จ.ขอนแก่น ซึ่ง นายสมศักดิ์ คุณเงิน จากพรรคพลังประชารัฐ ชนะ นายธนิก มาสีพิทักษ์ จากพรรคเพื่อไทย ทิ้งห่างกว่า 2 พันคะแนน ทั้งที่คุณหญิงสุดารัตน์ ลงไปลุ่ยพื้นที่แทบไม่ได้หลับได้นอน
นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 62 สมยศ พฤกษาเกษมสุข ยังออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ “ความเสื่อมถอยและจุดจบพรรคเพื่อไทย”
เนื้อหาระบุว่า “การเลือกตั้งซ่อมขอนแก่น พรรคเพื่อไทย แพ้ พรรคพลังประชารัฐ ยับเยิน การอ้างเหตุว่า มีการใช้เงินซื้อเสียง (แต่จับไม่ได้สักที) เป็นเหตุผลเก่า แค่ปลอบใจกันเอง ความพ่ายแพ้สะท้อนได้หลายแง่มุมด้วยกันทั้งตัวบุคคล การลงพื้นที่หาเสียง ยุทธวิธีหาเสียง นโยบายการหาเสียง ภาวะผู้นำภายในพรรค และบทบาทของพรรค
พรรคเพื่อไทยกำลังเสื่อมถอย ด้วยเหตุที่มีแต่นักเลือกตั้ง และนักการเมืองที่ไร้ศักยภาพ ขาดความมุ่งมั่นจริงจังในการต่อสู้ทางการเมือง เหินห่างจากชาวบ้านและทำได้แค่สร้างภาพฉาบฉวย อาศัยบุญเก่าที่สะสมกันมา แต่ทว่าไร้มนต์ขลังไปแล้ว ไม่มีสิ่งที่ดีกว่าและเหนือกว่าเดิม
หากพรรคเพื่อไทยยังอาศัยแค่บุญเก่า ห่างเหินจากชาวบ้าน ขาดความมุ่งมั่นจริงจัง และขาดความกล้าหาญทางการเมือง ไม่ได้ต่อสู้เป็นปากเสียงแทนความเดือดร้อนของชาวบ้าน ฯลฯ ก็ต้องพบกับความเสื่อมถอยในที่สุด”
ประเด็นก็คือ พรรคฝ่ายค้านเอง ก็ต้องหันกลับมามองตัวเองด้วย ว่า เสื่อมถอยจริงหรือไม่
การต่อสู้ทางการเมือง ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่ หรือเพียงสนองตัณหาของตัวเองและสาวก และนับวันยิ่งลอยจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศสุดกู่
อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ คือ การต่อสู้เพื่อล้มล้างอำนาจ “บิ๊กตู่” เพื่อชำระแค้น ถามว่า ประชาชนต้องการอะไร ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 และเศรษฐกิจปากท้องที่ประชาชนเดือดร้อนกันอย่างแสนสาหัส อย่ามัวแต่อ้างว่า ประชาชนจะตายก่อนที่รัฐบาลจะปราบโควิดสำเร็จ เพราะกว่าที่พวกฝ่ายค้านจะต่อสู้ล้มล้างเผด็จการสำเร็จ ประชาชนไม่ตายก่อนหรือ??? น่าคิดอยู่เหมือนกัน!