เมืองไทย 360 องศา
การให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยจากบ้านพักในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่เพิ่งมีการนำออกมาเผยแพร่เมื่อสี่ห้าวันก่อน ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษหนีคดี ถือว่าเป็นการโผล่ออกมาแสดงความเห็นรวมไปถึงท่าทีของเขาต่อเรื่องราวหลายเรื่องในรอบหลายเดือนในแบบมีการพูดจากันชนิดเป็นเรื่องเป็นราว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาประมวลจากการให้สัมภาษณ์ทั้งหมดของเขา จะสังเกตเห็นว่า เป็นท่าทีที่ “ซอฟต์” ลงอย่างเห็นได้ชัด และพยายามเลี่ยงที่จะให้ความเห็นในเรื่องการเมือง แม้ว่าจะเน้นหนักในเรื่องให้ความเห็นต่อการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นหลัก แต่ก็เลี่ยงที่จะไม่แตะต้องรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่าใดนัก หรือแทบจะไม่พูดถึงโดยตรงเลย โดยเขาออกตัวว่า “ไม่ขอพูดเรื่องการเมือง” ซึ่งดูเหมือนจะผิดฟอร์มไปมากทีเดียว
น่าสนใจก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้วิจารณ์รัฐบาล หรือตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องมาตรการรับมือกับโรคระบาดดังกล่าว โดยเขากล่าวชมมาตรฐานด้านสาธารณสุขของไทย จนทำให้มีตายน้อย รวมทั้งรักษาหายจำนวนมาก
แต่ขณะเดียวกัน เขาเรียกร้องให้รีบคลายล็อกดาวน์โดยเร็ว เพราะเห็นว่าไม่คุ้มค่ากับการที่เอาเศรษฐกิจทั้งหมดไปแลกกับโรคภัยที่ป้องกันไม่ได้ ซึ่งก็เป็นการให้ความเห็นในแบบรวมๆ กับมาตรการที่หลายประเทศทั่วโลกที่มีมาตรการเข้มงวดดังกล่าวออกมา
อย่างไรก็ดี เท่าที่จับอาการจากการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ นายทักษิณ ชินวัตร เหมือนกับการเปิดเผยออกมาให้เห็นว่า “เขามีความเดือดร้อนจากปัญหาโรคระบาดครั้งนี้มาก” นั่นคือ เชื่อว่า “มีผลกระทบกับรายได้และทรัพย์สิน” ของเขาจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน
“ผมทำตัวลำบาก เพราะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย และไม่อยากให้ถูกมองว่ามายุ่งการเมือง หรืออะไร เพราะฉะนั้นผมจึงทำแบบเงียบๆ ดีกว่า อะไรที่ทำได้ก็ทำไป เดือนๆ หนึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง เลยต้องทำมาหากินที่กรุงลอนดอน ไม่งั้นจะมีไม่พอกิน” นายทักษิณกล่าว เมื่อถูกถามถึงเรื่องที่มีชื่อไปปรากฏในการเป็นเจ้าภาพงานศพ รวมไปถึงไปปรากฏภาพและชื่อในฉลากข้างขวดเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า ตอนนี้ได้เห็นมหาเศรษฐีทั่วโลกทำโครงการการกุศล ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์รวมไปถึงการบริจาคจำนวนมหาศาล เมื่อเปรียบเทียบกันในความหมายที่ว่ามีจำนวนน้อยไปหรือไม่ กับการช่วยเหลือคนรากหญ้าที่เคยสนับสนุน โดยเขาอ้างว่าไม่สามารถช่วยคนเป็นล้านๆ คนได้ แต่ว่าช่วยตามกำลัง ช่วยตามน้ำใจ ส่วนใหญ่ไปช่วยที่โรงพยาบาล ด้านอุปกรณ์อะไรประมาณนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากโทนเสียงแล้ว ถือว่าครั้งนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ดู “อ่อนลง” ไปมาก และเชื่อว่า คงได้รับผลกระทบในทางธุรกิจเหมือนกับบรรดาเศรษฐีทั่วโลกที่กำลังประสบอยู่ในเวลานี้ จากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
แม้ว่าในการเรียกร้องให้มีการ “คลายล็อก” โดยเร็ว เพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่โทนเสียงก็ดูแล้วไม่ได้แข็งกร้าว หรือโจมตีรัฐบาล หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบแรงๆ เป็นการแสดงความเห็นในแบบแนะนำในทำนองว่า ให้เน้นในเรื่องความรู้ การป้องกันกับประชาชนเหมือนกับที่ไต้หวันทำสำเร็จมาแล้ว
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากท่าทีของนายทักษิณ ชินวัตร ที่โผล่ออกมาคราวนี้กับสถานการณ์โรคระบาดก็ไม่ต่างกับการวิ่งไล่ตาม “ขบวนสุดท้าย” ด้วยท่าทีที่ดู “อ่อนล้า” แทบไม่มีอารมณ์ต่อสู้อะไรได้มากนัก ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บจากพิษของโควิด โดยเฉพาะความเสียหายทางด้านธุรกิจที่ระดับเศรษฐีโดนกันไปทั่วโลก และเชื่อว่าคราวนี้เขาคงเจ็บหนักในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็เป็นได้ !!