เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าเป็นผลงานอันสุดยอดร่วมกันของ “ทีมไทยแลนด์” หรือคนไทยที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนสามารถทำให้ผู้ป่วยรายใหม่ลดจำนวนลงมาเรื่อยๆ จากหลักร้อย มาเป็นหลักสิบ หลักหน่วย ต่อเนื่องกันมาถึง 17 วัน จนล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยใหม่ “เป็นศูนย์” หรือไม่มีผู้ป่วยเลย ขณะเดียวกัน ไม่มีผู้เสียชีวิตสักรายเดียวอีกด้วย
ถือว่าเป็นวันที่น่าดีใจร่วมกันสำหรับคนไทยทุกคน เพราะนี่คือผลงานร่วมกันของทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจ มีวินัยที่ทำตามมาตรการที่ “คณะแพทย์” กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัด
ขณะเดียวกัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องให้เครดิตกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ยอมรับฟังและเดินตามคำแนะนำของคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ไม่ทำตัวเป็นผู้รู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เหมือนกับผู้นำบางประเทศ ดังที่มีการสะท้อนถึงความล้มเหลวที่แสดงผ่านจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตจำนวนนับหมื่นนับพันอยู่ในเวลานี้
แน่นอนว่า สำหรับประเทศไทยการที่มีตัวเลขออกมาเป็นศูนย์ดังกล่าว ถือว่าลดแรงกดดันให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ก่อนหน้านี้ ถูกฝ่ายตรงข้าม “ปรามาส” เอาไว้มาก ถึงขนาดมีการสร้างกระแส “เหยียดหยาม” ว่า “ผู้นำไม่ฉลาด” อะไรประมาณนี้ เพื่อนำร่องนำไปสู่การ “ขับไล่” จากพวก “ฝ่ายแค้น” ที่ผสมปนเปกับพวก “ฝ่ายค้าน” ที่พ่ายแพ้ในสภาฯ มาอย่างต่อเนื่อง
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้เครดิตกับเขา เพราะหลังจากมีการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินมานานนับเดือน ที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรี และรวบอำนาจการบริหารสั่งการรวมศุนย์ก็สามารถลดความไร้เอกภาพลงได้ และทำให้สถานการณ์การควบคุม และการออกมาตรการบังคับต่างๆ ได้ผลมากยิ่งขึ้น จนสถานการณ์ที่หลายคนเคยคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าในช่วงปลายเดือนเมษายนต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคม อาจมีผู้ป่วย เพิ่มขึ้นทะลุหลักแสนคนก็เป็นได้
แต่มาถึงวันนี้ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม มีผู้ป่วยเป็นศูนย์ และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกด้วย ก็ย่อมทำให้คนไทยทุกคนมีความผ่อนคลายมากกว่าเดิม แต่ถึงอย่างไรก็ยังได้รับคำเตือนว่า “ห้ามประมาท” การ์ดยังห้ามตกเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน ยังมีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสองที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ที่ก่อนหน้านี้ได้รับคำชมว่ามีมาตรการควบคุมโรคได้ดี และเริ่มมีมาตรการที่ผ่อนคลายลง นอกเหนือจากสิงคโปร์ที่กลับมาระบาดอย่างหนักอีกรอบ ล่าสุด ก็เป็นเกาหลีใต้และประเทศจีนที่เคยเป็นประเทศที่มีการระบาดแห่งแรกๆ ก็พบการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
ข่าวคราวดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องย้ำเตือนกันอยู่ตลอดเวลา ว่า ห้ามประมาท หรือการ์ดอย่าตก เพราะหากกลับมาระบาดอีกรอบทุกอย่างก็อาจยิ่งเลวร้ายลงไปอีก โดยเฉพาะผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่จะต้องยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามอารมณ์ของคนไทยในเวลานี้ ก็น่าจะออกมาประมาณว่า แม้จะมีการควบคุมโดยการขยายเวลาบังคับใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปจนถึงปลายเดือนนี้ก็ยังยอมรับได้ เพียงแต่ว่าน่าจะมีการผ่อนคลายมาตรการบางอย่างเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า “เฟสสอง” ที่จะออกมาในวันที่ 15 พฤษภาคม นี้อีกล็อต หลังจากมีการทดลองไฟเขียวแบบมีเงื่อนไขให้กับบางกิจการได้กลับมาดำเนินธุรกิจกันได้แล้ว ผ่านมากว่า 14 วัน ซึ่งถือว่า โอเค โดยพิสูจน์ได้จากตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นศูนย์ดังกล่าว
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งในมุมการเมืองก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวที่หลากหลายมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย อีกทั้งมีการควบคุมมาพักหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับว่า จากปัญหาโรคระบาดทำให้บทบาทของการเมืองในกลุ่มฝ่ายค้าน รวมไปถึงกลุ่มการเมืองต่างๆ ต้องเก็บตัว ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุที่มาจากพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน และกลัวการติดเชื้อไวรัส แต่มาวันนี้เริ่มมีการ “แอกชัน” มากขึ้น อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ชาวบ้านลืม
อย่างไรก็ดี ตราบใดที่ยังมีการแพร่ระบาดกันอยู่ต่อไป อีกทั้งในเวลานี้เมื่อรัฐบาลยัง “เอาอยู่” อารมณ์ของชาวบ้านก็ยังน่าจะออกมาประมาณแบบว่า ยังยอมให้บังคับใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป เพียงแต่ให้มีการผ่อนคลายมาตรการบังคับให้สามารถทำมาหากินได้บ้างประมาณนั้น ส่วนการเคลื่อนไหวในเรื่องการเมือง เรื่อง “เสรีภาพ” คงต้องรอไปก่อนอีกสักพักหนึ่ง !!