เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าคนไทยจำนวนมากหรือเกือบทั้งหมดคงจะรู้สึกดีกับตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมาว่ามีจำนวนเพิ่ม 33 ราย เสียชีวิตอีก 3 ราย โดยเป็นผู้ป่วยสะสมรวม 2,551 ราย เสียชีวิตรวม 38 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 1,218 ราย
เห็นแค่ตัวเลขดังกล่าวก็ต้องชื่นใจเป็นธรรมดา เพราะลดลงอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขสามหลัก มาเป็นสองหลักที่เป็นเกือบถึงหลักร้อย แล้วก็ลดลงมาเรื่อยๆมา จนมาวานนี้ที่ลงมาเหลือ 33 ราย ซึ่งถือว่ามีแนวโน้มที่ดีมากๆ และที่สำคัญจากการที่สามารถสัมผัสได้ก็คือเวลานี้ประชาชนมีความ “ตื่นตัว” สูงมาก ให้ความร่วมมือกับทางการโดยเฉพาะการ “สวมหน้ากากอนามัย” เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เวลาออกไปนอกบ้าน รวมไปถึงการ “เว้นระยะห่างทางสังคม” ที่ทำได้ดีเหมือนกัน
จากการตื่นตัวและการให้ความร่วมมือดังกล่าวทำให้การแพร่ระบาดของเชื้อโรคลดลงอยู่ในวงจำกัด และสามารถอยู่ในการ “ควบคุม” โรค นั่นคือบุคลากรทางการแพทย์และ อุปกรณ์ที่มีอยู่สามารถรองรับได้โดยที่ไม่ตึงมือเกินไปจนเข้าขั้นวิกฤติ แม้ว่ายังอยู่ในภาวะที่ขาดแคลน แต่ก็ถือว่าเริ่มมีการบริหารจัดการได้ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน เพราะมีเวลาตั้งหลักได้ทัน
โดยเฉพาะในเรื่องหน้ากากอนามัยที่ประชาชนตื่นตัว “ใช้หน้ากากผ้า” ผลิตขึ้นใช้เอง ส่วนหน้ากากอนามัยก็สงวนไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์เป็นหลัก และเวลานี้ก็เริ่มกระจายไปทั่วประเทศ มีการบริหารจัดการใหม่ ทำให้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าสำหรับคนไทยส่วนใหญ่ทั่วไปเมื่อได้เห็นตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องแบบนี้ย่อมต้องมีความยินดี แต่นั่นคงไม่ใช่กับทุกคน เพราะยังมีอีกไม่น้อยที่เริ่มมีอารมณ์ “หงุดหงิด” มากขึ้นเรื่อยๆ จนเชื่อว่าหลายคนเริ่มสังเกตอาการดังกล่าวได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการโหมโจมตีในแบบ “จับผิด” เอากับ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.ในลักษณะที่ออกมาในทำนองว่าทำงานเกินหน้าที่ นั่นคือในความหมาย “โปรโมตผลงานรัฐบาล” โปรโมต ผลงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอาเป็นว่าที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายคนพอมองเห็นว่ามีหลายคนในกลุ่มที่พวกเขาเรียกขานกันว่า “นักประประชาธิปไตย” และเชิดชูเสรีภาพในลักษณะ “เสพเป็นภักษาหาร” ทนไม่ได้จนต้องออกมาเบรก หรือโจมตี “หมอทวีศิลป์” ในแบบที่ว่าเป็น “ฝ่ายการเมือง” บางคนถึงขั้นโจมตีว่าต้องการมีตำแหน่งก้าวหน้าทั้งในราชการและทางการเมืองก็มี
อย่างไรก็ดีในเมื่อเป็นยุคดิจิตอลมีการกล่าวหาโจมตีการในโลกโซเชียล มันก็ย่อมต้องเจอแรงตอบโต้ในช่องทางเดียวกัน และต่อมาก็มีการ “เซฟหมอทวีศิลป์” กันอย่างแพร่หลาย ขณะเดียวกันเมื่อวัดกระแสกันแล้วก็ต้องบอกว่าพวก “นักประชาธิปไตย” ทั้งหลายแหล่ดังกล่าวก็เริ่มฝ่อลงไป
แต่สิ่งที่น่าพิจารณากันก็คือสำหรับในกลุ่มการเมืองที่ว่านี้ อาจจะมีความผิดหวังอย่างแรงกับการ “เอาอยู่” ที่รัฐบาลสามารถจำกัดการแพร่ระบาดลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อควบคุมโรค หากจำกันได้ในตอนแรกพวกเขาพยายามออกมาโจมตีในทำนองว่าเป็นการ “ปิดปาก” และ “ลิดรอนเสรีภาพ” แต่ก็ไม่ได้ผลมีแต่เสียง “โห่ฮา” กลับไป และเมื่อไม่ได้ผลก็เบนเป้าหันมาโจมตี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ที่เป็นโฆษก ศบค. แต่ก็ถูกสังคมช่วยกัน “เซฟคุณหมอ” กันอีก
หากพิจารณาในทางการเมืองหลายคนคงมองออกว่าคนพวกนี้คงมีความหวังในใจลึกๆว่า “โควิดคงทำให้ลุงตู่ล่องจุ้น” แน่คราวนี้ เพราะในช่วงแรกๆดูแล้วสถานการณ์วุ่นวายจริงๆ มีแต่ปัญหาประดังเข้ามาสารพัด มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด เชื่อว่าคงเอาไม่อยู่แน่ แต่หลังจากประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีการประกาศเคอร์ฟิว ที่สำคัญสามารถทำให้ประชาชนตื่นตัวให้ความร่วมมือมากขึ้นเรื่อยๆ จนเวลานี้ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีมาก แน่นอนว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ย่อมยิ้มได้ แต่ขณะเดียวกันเชื่อยังมีอีกพวกหนึ่งที่อาจจะ “อกแตกตาย” เพราะผิดความคาดหมาย
อย่างไรก็ดีนาทีนี้แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปทางบวก แต่ไม่อาจจะประมาทได้เลย หรือที่เรียกว่า “การ์ดอย่าตก” เพราะหาก “ไม่เข้ม” ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า ตัวเลขผู้ป่วยอาจกลับมาพุ่งกระฉูด และอาจตายเป็นเบือเหมือนกับที่เห็นในหลายประเทศในยุโรปและอเมริกาในเวลานี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน !!