เมืองไทย 360 องศา
ถือว่าเป็นอีกความพยายามที่ร่วมมือกันทำกิจกรรมเพื่อเขย่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐบาลชุดนี้ ล่าสุด ก็พยายามสร้างกระแส “ยั่วยุ” ด้วยการส่งพวกเด็กๆ ไปยิงแสงเลเซอร์เป็นข้อความว่า “ตามหาความจริง” ในจุดที่เป็นพื้นที่เป้าหมาย เช่น วัดปทุมวราราม กระทรวงกลาโหม เป็นต้น
แน่นอนว่า เป้าหมายก็คือความพยายามในการสร้างกระแสช่วงเดือนพฤษภาคม กับคนที่เคยเป็นแนวร่วมของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” หรือพวก นปช. ซึ่งก็คือเครือข่ายการเมืองที่เคยเคลื่อนไหวให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงแนวร่วม “ฝ่ายซ้าย” ที่เรียกว่า “ซ้ายอกหัก” ประเภท “ขบวนการล้มเจ้า” มาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ซึ่งในปีนี้ก็คิดจะฉวยจังหวะจากเหตุการณ์เดือน “พฤษภาปี 35-53” จากเหตุการณ์รุนแรงทั้งสองเหตุการณ์
แม้ว่าที่ผ่านมาทุกปีจะมีการแยกกันจัดกิจกรรมอย่างชัดเจน เพราะคนละเหตุการณ์ และคนละอารมณ์ อีกทั้ง “ต้นเหตุ” ก็ไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าที่เหมือนกันก็คือ เกี่ยวข้องกับ “ทหาร” เท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในปีนี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีการ “ออกแบบใหม่” และหากพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นว่า มีกลุ่มใหม่ที่เข้ามา “บริหารจัดการใหม่” ซึ่งก็คงคาดเดาไม่ผิดว่า “โปรโมเตอร์” รายใหม่ที่ออกหน้าในปีนี้ กลายเป็น “คณะก้าวหน้า” ของ “สองเกลอ” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เนื่องจากเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ไปปรากฏอยู่ในเครือข่ายออนไลน์ของแกนนำกลุ่มดังกล่าว
หากพิจารณาในทางการเมือง ในแบบที่ไม่ต้องใช้ระบบคิดทางวิชาการเพ้อฝันซับซ้อน มันเหมือนกับการจับเอาเหตุการณ์ในอดีตมา “สร้างกระแสเกลียดชัง” ซึ่งในทีนี้เป้าหมายก็คงมุ่งไปที่ “ฝ่ายทหาร” และเป้าหมายหลักก็คงหนีไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เวลาถือว่า “เป็นศูนย์กลางอำนาจ” ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าหากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์และความเชื่อของคนพวกนี้ อาจจะมี “เป้าหมายอื่น” ที่นอกเหนือจากนี้ ก็เป็นได้
แน่นอนว่า ทั้งสองเหตุการณ์คือ “พฤษภา 35” กับ “พฤษภา 53” มันมีที่มา และสาเหตุนั้นต่างกันแบบตรงกันข้าม แต่หากพยายามเชื่อมโยงไปถึงฝ่ายทหาร และต้องการให้ไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะก็ทำได้ไม่ยาก อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจาก “กระแส” และอารมณ์ร่วมในเวลานี้ ถือว่า “ยังไม่ได้” เนื่องจากนอกเหนือจากเหตุการณ์ได้ผ่านมานานนับสิบปีแล้ว ถือว่า “เลยจุดพีก” มาไกลแล้ว และที่สำคัญ บรรดากลุ่มแกนนำที่เคยเคลื่อนไหวก็ล้วนแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง
สิ่งที่เป็นจริงก็คือ เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็น “เชื้อไฟ” ให้เกิดการปะทุได้ทุกปี หากมีเงื่อนไขที่ใช้การได้ เหมือนกับความพยายามปลุกกระแส “ปฏิวัติ 2475” ของคณะราษฎรในอดีตอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังต่อไม่ติด ยังเป็นกระแสกันเฉพาะกลุ่ม
อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวยังไม่อาจประมาทได้ เพราะโอกาสที่จะขยายลุกลามก็เป็นไปได้ตลอดเวลา ขณะที่ฝ่ายที่เคลื่อนไหวก็เหมือนกับเป็นการ “ลงทุนน้อย” ถือว่าไม่ขาดทุน แต่ในขณะเดียวกัน เป็นการสร้างกระแส ยั่วยุ หรือยั่วให้จับกุมวุ่นวายก็น่าจะเป็นผลสำเร็จแล้ว
แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ บรรยากาศในยามนี้ถือว่ายังไม่เหมาะจากสถานการณ์โรคระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวกันข้างนอก แม้ว่าจะ “คลั่งไคล้เสรีภาพ” กันขนาดไหนก็ตาม แต่ทุกคนก็ย่อม “กลัวติดเชื้อ” ทั้งสิ้น เหมือนกับในเวลานี้ที่มีการเคลื่อนไหวทางออนไลน์เป็นหลัก แต่ถึงอย่างไรในช่วงเวลานี้หรือเดือนนี้จะมีการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ตามพื้นที่เป้าหมายกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความหมายก็เหมือนกับการ “เลี้ยงกระแส” ให้แนวร่วมได้เห็นเท่านั้น
ดังนั้น แม้ว่าจะพยายามเคลื่อนไหวกันแบบต่อเนื่องที่คราวนี้เป็นฝ่าย “คณะก้าวหน้า” ที่เป็นโปรโมเตอร์หลัก แต่อย่างที่บอกว่านั่นแหละในเมื่อกระแสหรือ “อารมณ์ร่วม” ยังไม่มา มันก็ยังไม่ได้ เพียงแต่ว่างานนี้ถือว่า “ลงทุนน้อย” เพื่อหวังเช็กกระแส เลี้ยงมวลชนไปเรื่อยๆ ก็อาจถือว่าไม่ได้ขาดทุนอะไรนัก อย่างน้อยก็เอาไว้รอจังหวะคราวหน้า !!