ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ความจริง “การบินไทย” กล้าๆ กันหน่อยเพ่!! เมื่อ “กนก อภิรดี” อดีต DD เจ้าจำปี เปิดอีกด้านของเหรียญ
จากที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอัดฉีดเงินกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่ออุ้ม “การบินไทย” ให้อยู่รอด ซึ่งก่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ว่ากันตั้งแต่ “การบินไทย” นั้น วิกฤตมานาน มาถึงจุดนี้ก็เกินเยียวยา ควรปล่อยให้ล้มละลายแล้วฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ ที่สุดแล้วก็ถกเถียงถึงอนาคตของสายการบินแห่งชาตินี้จะเป็นไปอย่างไร
“กนก อภิรดี” อดีต DD การบินไทย ได้เปิดมุมมองอีกด้านที่ไม่มีใครพูดถึง โดยมีเนื้อหาดังนี้...
ผมได้ดูคลิปคนนั้นคนนี้ออกมาพูดถึงต้นเหตุของการขาดทุนเเล้วหดหู่ เพราะ TG น่ะอยู่ใน ICU จะเก่งวินิจฉัยยังไงก็ถูกแหละ แต่มันถูกแค่เสี้ยวจี๊ดดดดเดียว แถมไม่เห็นมีทางออกใหม่ๆ มาเสนอเลย ยกเว้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่มี “Sondhi Talk” ที่ให้มุมมองใหม่ๆ มาบ้าง
ทำไมไม่มีคนกล้าพูดว่า สิทธิของการเป็นสายการบินเเห่งชาติที่ต้องมีอีกหน้าที่นอกเหนือจากการสร้างกำไรตอบเเทนผู้ถีอหุ้นเเล้ว TG ยังมีความรับผิดชอบ “เพื่อชาติอีกหลายประการ” เช่น เอาเฉพาะวิกฤตเดียวก็พอ ดีไหม..ช่วงที่เกิด Tsunami ที่ภูเก็ต TG เร่งส่ง FAST Team เกือบ 30 คน ลงภูเก็ตใน 24 ชม. เพื่อให้ หมอ/พยาบาล คุยกับคนป่วย ฝรั่ง แขก จีน ให้รู้เรื่องว่าคนนอนพะงาบๆ ในโรงพยาบาลป่วยยังไง กินน้ำทะเลกับทรายเข้าท้องไปเท่าไหร่ เจ็บป่วยยังไง... ต้องประสานตำรวจ ตม. เพื่ออำนวย “ความสะดวกพิเศษ” ให้ นทท. ที่ 90% Passport หาย... สร้างระบบให้ นทท. บินออกก่อนจ่ายทีหลังได้ เพียงแค่บอกว่าบินมาสายการบินอะไร แล้วลงชื่อ (เก็บเงินได้ไม่ได้ว่าทีหลัง..) ขอความอนุเคราะห์เก้าอี้ไทยน้ำทิพย์ ส่งเก้าอี้มาช่วย 1,000 ตัว... ขนผ้าห่ม/หมอน มาลงให้ทั้งลำตั้งเเต่คืนเเรก
DD กับทีมสั่งการหมด...ตั้งแต่เจรจา Win รถ 2 เเถว ให้ช่วยระดมรถมาระบายคนจากสนามบินเป็นหลายๆ พันคนโดยเร็ว โดยไม่ให้ขื้นราคา รวมถึงให้ขน นทท. ลงจากโรงเรียนเทคนิค ที่ TG อพยพทุกคนให้ขึ้นไปอยูที่สูงตั้งแต่นาทีแรกที่คลื่นซัด ท่วม Runway แล้ว เลยลงมาไม่ได้ ไม่เกี่ยงว่าเป็นลูกค้าสายการบินไหน เคลียร์แม้กระทั่งทุกห้องทำงานที่สนามบินที่พอว่าง ให้จัดเป็นพื้นที่ให้ นทท.ได้นอน ประสานเทศบาลเมืองภูเก็ต ส่งหน่วยพิเศษมาดูดส้วม เพราะส้วมเต็ม ตั้งศูนย์รับแจ้งคนหาย สั่งผลิตแซนด์วิช/แฮมเบอร์เกอร์ 24 ชั่วโมง แจกฟรีเป็นเดือน ให้ศูนย์ผลิตน้ำของ Catering ที่ดอนเมือง ผลิตน้ำขวดไม่ต้องหยุด ขนมาเเจกฟรี เลี้ยงนักท่องเที่ยวที่มีแต่ตัวกับกางเกงขาสั้นขาดๆ DD เยี่ยม นทท. ที่โรงพยาบาลทุกคืน ตั้งแต่คืนแรก สั่งถุงใส่ศพมาเป็นพันถุงมาลงที่ Cargo เพราะพ้น 2-3 วัน ศพเริ่มอีดเต็มโรง เเต่ระบายไม่ออก..
ประสานทุกสถานทูต ที่ขาดงบประมาณให้รับศพที่เน่าเเล้วกลับก่อน คิดแค่ 50% จ่ายทีหลังได้ ตั้งศูนย์รักษาผู้บาดเจ็บแบบเบา เพิ่มที่ดอนเมือง เพื่อระบายคนเจ็บน้อยจากภูเก็ตออกมาเพราะเกินกำลัง เพิ่มเปลบนเครื่องบินสำหรับ นทท. ที่บาดเจ็บเดินไม่ไหว ส่งทีม ปชส. T Gเยี่ยมคนป่วยที่โรงพยาบาลทั้งในภูเก็ต/กทม. นี่ยังไม่ได้ลงรายละเอียดปลีกย่อยนะ ... และนี่ยังไม่ได้พูดถึงการขอ SMED Bank ให้กู้เงินฟี้นฟูร้านหน้าหาดป่าตองทั้งถนน ที่ให้ Grace Period + ดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อล้างร่องรอยของร้านเดิมที่พังพินาศหมดโดยเร็ว ไม่นับรวมภาระที่ต้องสร้างโครงการดึง นทท. กลุ่มใหม่กลับภูเก็ตโดยเร็ว เช่น Beach Boy Beach Girl Contest Program (ไม่อยากอธิบาย!) เพราะ นทท. หนุ่มสาว ไม่กลัวผี แต่กลับรักผี Gasper ขนผู้สื่อข่าวต่างประเทศมาดูให้เห็นว่าภูเก็ตฟื้นเเล้ว 100% (Fam. Trip) ให้พนักงานทั่วโลกเอาดอกกุหลาบขาว พร้อมจดหมายเเสดงความเสียใจ Condolescence Letter จาก DD (เขียนเอง) ไปหาทุกครอบครัวที่สูญเสียหรือบาดเจ็บ
ด้วยความรักเเละห่วงใยจากTG เเนะนำให้จัดตั้ง “สึนามิ club” เพื่อดึงครอบครัวโดยเฉพาะกลุ่มสเเเกนดิเนเวีย ให้กลับมารายการรำลึก Tsunami ที่ภูเก็ต เป็นต้น นี่ TG ทำทั้งนั้น...
ผมถามกลับว่า ใครรับภาระเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่ “TG เเละคนการบินไทย” นี่ไม่นับรวมถึงวิกฤตอื่นๆ เช่น SARS Bird Flu แต่ไม่เคยได้แม้แต่คำชื่นชมจากประธาน หรือคณะกรรมการ ซ้ำร้ายรัฐบาลกลับเปิดเสรีด้านการบินแบบอ้าซ่าที่ในโลกเขาไม่ทำกัน โดย TG ไม่เคยได้รับรู้ว่าให้ Licenses ไปกี่ใบ ใครจะบินเข้ามาบ้าง อาทิตย์ละกี่เที่ยว ทั้งๆ ที่สายการบินแห่งชาติประเทศอื่นๆ ใครจะขอเส้นทางบินจะต้อง Consult National Airline ก่อนเสมอ เพื่อรักษาสมดุล ระหว่างอุปสงค์เเละอุปทาน ระหว่างจำนวน นทท. กับจำนวนเครื่องบินและจำนวนเที่ยวบิน ให้สัมพันธ์กัน
สรุปคือ รัฐบาลมอบแต่หน้าที่ให้ TG แต่เอาสิทธิของสายการบินแห่งชาติกลับไปหมด รวมถึงสิทธิของการค้าขายสินค้าปลอดภาษี (Free Tax Priviledge) ที่สนามบินที่ TG เคยได้รับอยู่คืนกลับไปให้สนามบินโดยที่ไม่ชดเชยอะไรให้เลย ถามว่าไอ้ที่ว่ารู้ว่า เหตุที่ TG มันเริ่มขาดทุนนั้น มันไม่ได้เพิ่งเกิดขื้น มันเหมือนเอากบโยนใส่น้ำในหม้อแล้วจุดไฟต้มมานานจนตอนนี้เริ่มร้อนฉ่า แล้วไปโทษ “DD สุเมธ” คนเดียว แล้วไอ้พวกบริหารที่มันเคยอยู่มาก่อน 20-30 ปี ไม่เห็นกล้าพูดเรื่องที่รัฐบาลสั่งยกธุรกิจสินค้าปลอดภาษี ไปให้สนามบิน หรือการเปิด Open Sky Policy เเบบอ้าซ่า (นี่ก็อยากเเจก Licenses อีก 2-3ใบ เพิ่ม)
อยากรู้ว่า TG ถอยให้ขนาดนี้ยังไม่พออีกหรือ ? ไม่เห็นไอ้พวกไหนออกมาพูดเลยว่า เลิกเรียก TG ว่า “สายการบินเห่งชาติ” ได้เเล้ว เพราะสิทธิที่ TG เคยมี ถูกรัฐบาลในอดีตเอาไปแจกสนามบิน/สายการบินอื่นๆ หมดเเล้ว... แล้วจะให้ TG แบกแต่ “หน้าที่ (ซึ่งมีต้นทุน)” เหล่านี้โดยกระทรวงไม่เคยเห็นเสนอทางออกดีๆ หรือให้ First Priority อะไรกลับมาให้ TG เลย มีเเต่ประเคนความสะดวกสายการบินที่มาทีหลัง ให้งวงรับผู้โดยสารดีๆ ไปก็เยอะ เเต่เครื่องบิน TG บ่อยๆ ครั้งให้มันไปจอดกลางลาน ให้ผู้โดยสารเดินเดิน..เดิน..ร้อนก็ร้อน ฝนก็พรำ ฝุ่นก็เยอะ เสียงก็ดัง (ลึกๆ อยากถามว่า อย่างนี้คือสิทธิของสายการบินแห่งชาติเเบบไหนกันนะ?) ทั้งที่เราจ่ายค่าบริการให้ปีละเกือบหมื่นล้านมาเป็นกี่ปี จ่ายสูงสุดกว่าทุกๆ สายการบินด้วย มีแต่ทุกสายการบินทุ่มเทเพื่อป้อนกำไรให้ AOT แต่ก็ยังเห็นการปล่อยให้ผู้โดยสารนั่งกับพื้น ห้องน้ำก็โกโรโกโส สกปรก/เเฉะ เก้าอี้นั่งรอไฟลต์เก่าจนทะลุขาดวิ่นแล้วก็มีให้เห็น ทั้งๆ ที่สายการบินส่งกำไรให้มากมาย แจกโบนัสกัน 5-6เดือน (ก็ยินดีด้วย!) ทั้งๆ ที่รายได้ของสนามบิน เกิดจากความเหนื่อยยากของลูกค้าสายการบินทั้งสิ้น
ผมน่ะออกจาก TG มากว่า 10 ปีเเล้ว เห็นเเต่คนพูดเก่ง รู้เยอะ เเต่ไม่เห็นใครจะกล้าพูดเรื่องพวกนี้ ทั้งๆ ที่มันเป็น “ความจริง“ กล้าๆ หน่อยเพ่! หรือจะรอให้ TG คิดย้าย HUB ไปใช้สนามบินอื่นที่เขาให้ priority กับ TG อย่างที่ Qantas เคยทิ้งไทยไปในอดีต
อยากดูว่า กระทรวงไหนจะมาอ้างว่า “TG เป็นสายการบินเเห่งชาติ” จึงต้องตะบันใช้ AOT ต่อไป มันเป็นธรรมไหมพี่ท่าน ที่ทุกสายการบินทำงานกันแทบขาดใจ เพื่อขน นทท. มาให้ สนามบิน ร้าน Free Tax โรงเเรม/ร้านอาหาร/เเทกซี่ ลีมูซีน โดยที่รัฐบาลได้แต่คุยอวดตัวเลข นทท. ไม่เห็นอวดเรื่องนโยบายดึง นทท.คุณภาพ เน้นแต่ปริมาณอย่างเดียว แทนที่จะโฆษณาเรื่องเด่นๆ และการบริการหรู ระดับ 5-6 ดาว อาหารหรู ห้างหรู โรงเเรมหรู สปาหรู โรงพยาบาลหรู รถทัวร์หรู คลับหรูๆ แทนที่จะขายเป็น แต่ถูก..ถูก..ถูกๆ อย่างเดียว เราก็ได้เเต่ นทท. ที่เน้นแต่มุ่งของถูกๆ ... แล้วผู้ประกอบการไทยจะมีกำไรที่ไหนไปต่อยอดสร้างคุณค่าเพิ่มแข่งกับประเทศอื่นๆ ไหม ก็เหลือทางออกเดียวคือ กำไรไม่คุ้มก็ขายๆ กิจการไป แล้วเราก็ไปด่าคนจีน คนตะวันออกกลาง ว่ามาเเย่งกิจการคนไทย กล้าปฏิรูปทั้งระบบจริงหรือเปล่า ?
ถ้ากล้าจริงก็สร้างเวทีเสนอยกเครื่องกันทั้ง ระบบ/อุตสาหกรรมเลย เอาแบบนอกกรอบกันนะ พวกคิดในกรอบไม่ต้องมานำเสนอ มัน Analogue ไปเเล้ว จะดีไหมครับครับ”
นี่เป็นเหรียญอีกด้านที่มองจากมุม อดีต DD การบินไทย ...
ไหนๆ จะต้องอุ้มการบินไทย จะใส่เงินอีก 50,000 ล้าน หรือ ฟื้นฟูอย่างไร ก็ต้องบอกว่า รัฐบาลกล้าจะบอกความจริงทั้งหมดทุกด้านของการบินไทยมั้ย ?
**ปิยบุตร รู้หรือไม่? อะไรที่คนไทยไม่ชอบที่สุด เขาว่า ทฤษฎีสมคบคิด “ชังชาตบุตร” มีฝรั่งคนหนึ่งจัดฉากทำบางอย่าง และ ฝรั่งอีกคนปั่นข่าวบิดเบือนร่วมกับคนไทยสร้างกระแสชังชาติ
วิพากษ์วิจารณ์กันต่อเนื่อง ถึงการเคลื่อนไหวของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” แกนนำคณะก้าวหน้า ซึ่งสองประเด็นล่าสุด ทั้ง “นุรักษ์ มาประณีต” หลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี หรือกรณีโพสต์แสดงความเห็น “ชาติตกอยู่ในอันตราย”
ว่ากันว่า ทั้งสองกรณีของ “ปิยบุตร” ก่อความไม่สบายใจให้กับสังคมเป็นอย่างยิ่ง ล่าสุด “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” สมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เนื้อหาระบุถึง เรื่อง “ทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory)” ระบุว่า แทนที่จะช่วยกันผลักดันประเทศ เพื่อฟันฝ่าวิกฤตโควิด ให้ประชาชนปรับตัวได้กับวิถีปกติใหม่ (new normal) “ปิยบุตร” กลับทำตรงกันข้าม อย่าคิดว่าคนไทยรู้ไม่ทันกับสิ่งที่คุณทำนะ อย่างน้อยสองเหตุการณ์ล่าสุด คือ การกระทบไปที่ “ท่านนุรักษ์” หลังจากที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี และล่าสุด รายการ Interregnum เรื่อง “ชาติตกอยู่ในอันตราย!”
คนไทยส่วนใหญ่รู้นะว่า มี “ทฤษฎีสมคบคิด” กับพวกฝรั่ง ในช่วงเวลาที่ขานรับกัน มีฝรั่งคนหนึ่งจัดฉากทำบางอย่าง และ ฝรั่งอีกคนปั่นข่าวบิดเบือนร่วมกับคนไทยชังชาติ ส่วนในประเทศก็สร้างกระแสทำนองเดียวกัน “ปิยบุตร” อาจจะมีภรรยาเป็นฝรั่ง และมีแนวโน้มจาบจ้วงสถาบันฯ ด้วย คุณจึงไม่เข้าใจอารมณ์คนไทย สิ่งที่คนไทยไม่ชอบมากคือ “การชักศึกเข้าบ้าน” ยิ่งดึงฝรั่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ภายใต้ทฤษฎีสมคบคิด เพื่อให้ประเทศเป็นแบบฝรั่ง คุณน่าจะรู้นะว่า สุดท้าย ทั้ง “รอแบ็สปีแยร์ และ หลุยส์ อ็องตวน เดอ แซ็ง-ฌุสต์” 2 คนนี้ มีจุดจบอย่างไร...
ขณะที่ “พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์” กรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย และอดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ. ก็โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาวา “ความผูกพันทางการเมือง ต้องมีจุดยืนที่เห็นได้ชัดเจน”
ความเห็น ความคิดอ่าน ของกลุ่มอดีตพรรคอนาคตใหม่ แต่เดิมนั้นถูกผูกขาด อยู่กับแกนนำ 3 คน เท่านั้น ด้วยวิธีการหาเสียงแบบ “ทรัมป์” คือ “การหาเสียงแบบ ความจริง มาทีหลัง” วิธีหาเสียงแบบนี้ กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่ “สหรัฐฯ” ซึ่งกำลังจะมีการเลือกตั้ง ประธานาธิบดี ครั้งใหม่ขึ้น ในเร็ววันนี้
ดังนั้น ปัญญาชนของสหรัฐฯ จึงเร่งมือหาทางให้ประชาชนสหรัฐฯ กลับมาใช้ ความจริง เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ (Post Fact) แทน โดยใช้กันหลายวิธี แต่ที่น่าจะได้ผลมากที่สุด คือ การจัดตั้งองค์กรที่เป็นกลางและเป็นอิสระ สร้างฐานข้อมูลทางการเมืองคอยลำดับ ความจริงทางการเมือง และ พฤติกรรมของนักการเมืองขึ้นมาแบบเกาหลีใต้ เพื่อให้มีทางตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
สำหรับประเทศไทยนั้น อย่าไปหวังเลยครับ ศาลยังไม่ฟังกันเลย ดังนั้น จึงเกิดประเด็นสำคัญขึ้น 2 กรณี คือ
1. การพูดของนักการเมืองในระยะนี้ มีแต่เรื่อง โควิด-19 แต่ “ปิยบุตร” มักจะพูดขึ้นไปหาที่สูงมากขึ้นตามลำดับ ส่วนใหญ่จะเอามาเสนอเฉพาะที่ตัวอยากพูด โดยไม่คำนึงถึงความจริงของแต่ละเรื่องว่ามีสาเหตุจากอะไร ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พูดไม่จบเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการ “ยุบพรรคอนาคตใหม่” ซึ่งมีมากมายเรื่องราว หลากหลายเหตุผล จนกล่าวได้ว่า เด็กที่เรียนนิติศาสตร์ ปี 2 ก็พิจารณาได้แล้วว่า ทำไมต้องยุบพรรคอนาคตใหม่ !!
2. ประเด็นสำคัญ คือ คณะก้าวหน้า (แก๊ง 3 คน) ยังมีอิทธิพลต่อพรรคก้าวไกลแบบเดิมหรือไม่ ถ้า 3 คนพูดแล้ว “พรรคก้าวไกล” เอาไปทำละก็ ต้องขอเตือนไว้ก่อน อาจจะเกิดกรณียุบพรรคขึ้นมาอีกก็เป็นได้ แล้วก็อย่าไปโกรธแค้นใครอีก
แทนที่จะไปโทษ “พี่ศรีสุวรรณ” ดันกลับโทษฟ้าโทษดินให้เลอะเทอะไปเรื่อย น่าสังเวชครับ”
นี่เป็นมุมคิดบางส่วนที่หาก “ปิยบุตร” ไม่สะทกสะท้อนอะไร ก็ควรจะเปิดใจรับฟังไว้ ...
กระแสสังคมนั้นไม่เอาด้วยกับการสร้างกระแส “ชังชาติ” และ ยิ่งรับไม่ได้กับที่ “ปิยบุตร” ในหัวคิดแต่การเมืองเพื่อล้มล้างอย่างเดียว..!!.