โฆษก ศบค.ระบุยอดมั่วสุมตั้งวงเหล้า 60 เปอร์เซ็นต์ หลังปลดล็อกขายเหล้าวันแรก ขู่หากติดเชื้อเพิ่มย้อนกลับไปเข้มทบทวนมาตรการ ศบค.เผยผู้ป่วยใหม่เพิ่ม 18 ราย แจง 40 รายยะลาเตรียมส่งเชื้อตรวจซ้ำ กทม. ย้ำสถานเสริมความงามยังต้องปิดต่อ “ประกันสังคม” ยันเงินยังอยูทุกบาททุกสตางค์ เผยควักจ่ายผู้รับสิทธิ์แล้วกว่า 2 พันล้านบาท เร่งนายจ้าง 5 หมื่นราย เร่งรับรองสิทธิ์ลูกจ้างตกค้าง
วันนี้ (4 พ.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า ผู้ป่วยรายใหม่วันนี้เพิ่มขึ้น 18 ราย ทั้งหมดเป็นต่างด้าวจากศูนย์กักกัน อ.สะเดา จ.สงขลา ขณะยอดผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 2,987 ราย วันนี้มีรักษาหายป่วยเพิ่ม 1 ราย รวมหายกลับบ้านแล้ว 2,740 ราย รักษาตัวอยู่ 193 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 54 ราย ทั้งนี้กลุ่มที่พบผู้ติดเชื้ออยู่ในวัย 20-29 ปี ส่วนรายใหม่ที่พบวันนี้ 18 รายนั้นเป็นหญิงอายุ 13-22 ปี 7 ราย และเป็นผู้ชายอายุ 10 ปี 1 ราย
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สำหรับกรณี จ.ยะลา ที่มีการค้นหาเชิงรุกในชุมชนและผู้พบผู้สงสัยติดเชื้อจำนวน 40 รายนั้น ได้ส่งเชื้อไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.สงขลา พบว่าทั้ง 40 รายไม่พบเชื้อ ซึ่งผลที่ออกมานี้มีผลตรงกันข้ามกับที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา จึงจะมีการตรวจซ้ำอีกครั้ง โดยจะส่งผลเชื้อมาตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ส่วนกลางกรุงเทพฯ ทั้งนี้ 40 รายนี้ยังไม่ยืนยันชัดเจนที่จะประกาศผล ซึ่งหากผลออกมาอย่างไรจะไม่มีการปกปิดแน่นอน อย่างไรก็ตาม การได้รับข้อมูลระดับตำบล อำเภอ หมู่บ้านเป็นเรื่องที่ดี เราจะได้ช่วยกันทำให้ได้รับรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ทั้งในระดับส่วนบุคคลก็จะช่วยจังหวัดและจะช่วยทั้งประเทศได้ จะทำให้เราพ้นจากการติดเชื้อนี้ไปได้ ซึ่งการตรวจนั้นยิ่งเจอเยอะเรายิ่งชอบ แสดงถึงการค้นหาผู้ป่วยที่มีสมรรถนะของคนในพื้นที่ หากถามการตรวจที่ผ่านมานั้นเพียงพอหรือยัง เราตรวจเจอแล้ว 2 แสนกว่าตัวอย่าง โดยภาคเอกชนมีตัวเลขสูงสุด เราพอใจในระดับหนึ่ง. แต่ต้องทำเพิ่มขึ้นอีก ส่วนที่ช่วงแรกๆ เราตรวจน้อยแต่เจอเยอะ แต่พอมาช่วงหลังเราตรวจเยอะแต่เจอน้อยนั้นเพราะมาตรฐานการควบคุมโรคของเราทำได้ดี
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สำหรับการปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ด้านความมั่งคง ระหว่างวันที่ 3 พ.ค.เวลา 22.00 น. ถึงช่วงเช้าวันที่ 4 พ.ค. พบผู้ออกนอกเคหสถาน 690 ราย เพิ่มขึ้น 136 ราย มีผู้ชุมนุมมั่วสุม 129 ราย เพิ่มขึ้น 22 ราย ซึ่งพบว่าการดื่มสุรามาเป็นอันดับ 1 ที่ 60 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 พ.ค. มีการผ่อนปรนให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ อันดับ 2 คือการพนัน 21 เปอร์เซ็นต์ และอันดับ 3 เสพยาติด 11 เปอร์เซ็นต์
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ขณะที่คนไทยที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศในวันนี้จะมาจากมัลดีฟส์ 131 คน จากฮ่องกง 162 คน และในวันที่ 5 พ.ค. จะมีกลับจากฝรั่งเศส 16 คน และจากอินเดียอีก 220 คน ส่วนคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก พม่า 1 คน สปป.ลาว 54 คน กัมพูชา 23 คน และมาเลเซีย 387 คน ซึ่งทั้งหมดที่เข้ามาจะอยู่ในสถานกักกัน 14 วัน
เมื่อถามว่าในส่วนมาตรการผ่อนปรนนั้น สถานเสริมความงามสามารถเปิดได้หรือไม่ นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ตามข้อกำหนดในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 5 (6) ยืนยันว่าคลินิกเวชกรรมเสริมความงามนั้น มีคำสั่งปิดสถานที่เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อโรค ซึ่งอยู่ในโหมดเดียวกับโรงมหรสพ ผับ บาร์ เหตุเพราะว่าต้องทำกิจกรรมใช้เวลานานและเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นค่อนข้างน้อย ยืนยันว่าต้องปิดอยู่
เมื่อถามว่า เมื่อผ่อนปรนให้มีการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้แล้ว ปรากฎว่ามีภาพการคนจำนวนมากแย่งกันซื้อสินค้า จะส่งผลให้มีการทบทวนมาตรการผ่อนคลายหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่อยู่ในภาพเหล่านั้น เป็นตัวอย่างและข้อเตือนใจว่าตอนเปลี่ยนผ่านเราต้องพยายามทำความเข้าใจว่าต้องมีการปรับพฤติกรรมแล้วท่านเองจะปลอดภัย ซึ่งข้อกำหนดเป็นมาตรการที่แจ้งออกมาแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิม เป็นสิ่งที่เราทำกันมา ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถ้าท่านยังยึดหลักเหมือนเดิม ถ้าทำได้ทั้งเรื่องทำความสะอาดพื้นที่ กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่ แอลกอฮอล์หรือเจลน้ำยาฆ่าเชื้อโรค เว้นระยะห่างทั้งนั่งและยืนอย่างน้อย 1 เมตร และควบคุมจำนวนผู้ร่วมกิจกรรมไม่ให้แออัด หรือลดเวลาในการทำกิจกรรมให้สั้นลงเท่าที่จำเป็น ซึ่งเราจะประสบความสำเร็จแห่งหนึ่งของโลก เรายังต้องการความร่วมมืออยู่ เพื่อให้โรคออกจากประเทศไทยให้ได้ ให้มั่นใจว่าประเทศไม่มีคนติดเชื้อ ถึงวันนั้นเราจะใช้ชีวิตปกติได้
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรามี 14 วันเปลี่ยนผ่านนี้ ถ้าร่วมมือกันจะใช้มันอย่างคุ้มค่า ตัวเลขการติดเชื้อน้อยลงแล้วจะได้ไปสู่ระยะที่ 2 ที่มีพื้นที่ที่จะไปได้มากกว่านี้ ซึ่งต้องเกิดจากความร่วมมือร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ศบค.จะจัดชุดข้อมูลเก็บเป็นสถิติ ถ้าเราผ่อนปรนแล้วตัวเลขติดเชื้อน้อยจะขยับในขั้นผ่อนปรนระยะต่อไป แต่ถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น มาตรการจะต้องถูกทบทวน ไม่ว่าจะให้หยุดหรือกลับไปที่เดิมเป็นการบังคับที่มีข้อจำกัดมากมาย เพื่อไม่ให้เราต้องป่วย ทำให้เราไม่ต้องตาย สิ่งที่เราร่วมกันมา 1 เดือนมีความหมายกับเรา และอีก 14 วันจากนี้ก็มีความหมายมาก ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำมากกว่าผู้ใช้บริการ และผู้ใช้บริการต้องให้ความร่วมมือและตรวจสอบผู้ประกอบการ ขณะที่ภาครัฐจะกำกับติดตามดูแลตรวจสอบทั้งสองส่วน เราต้องทำงานร่วมกันทั้งหมดสามส่วนนี้
ด้านนายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวถึงการจ่ายเงินกรณีผู้ประกันตนว่างงานจากเหตุสุดวิสัยว่า มีผู้ประกันตนมายื่นขอใช้สิทธิทั้งสิ้น 1,177,841 ราย มีข้อมูลที่ยืนยันเข้ามาซ้ำกันหรือไม่ใช่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จำนวน 219,537 ราย เหลือผู้มีสิทธิได้รับเงิน 958,304 ราย ได้เร่งจ่ายแล้วเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 455,717 ราย เป็นจำนวนเงิน 2,354 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกำลังดำเนินการ 207,895 ราย รอนายจ้าง 50,000 ราย มารับรองสิทธิลูกจ้าง 294,692 ราย ซึ่ง รมว.แรงงานสั่งเร่งรัดระดมเจ้าหน้าที่ทุกกรมประสานกับนายจ้างให้ช่วยมารับรองสิทธิ เพื่อให้สำนักงานได้วินิจฉัยจ่ายเงินเยียวยา ขอยืนยันว่าประกันสังคมมีเงินเพียงพอที่จะจ่าย เงินไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ทุกบาททุกสตางค์ เพราะเป็นเงินของประชาชน ทั้งนี้ เรามีสายด่วน 1506 รับร้องเรียน 250 คู่สาย แต่ขณะนี้ยอมรับว่าอาจล่าช้าไปบ้างเนื่องจากมีผู้ใช้บริการเพิ่มจากปกติหลายหมื่นคนต่อวัน หรือประมาณ 11 เท่าจากปกติ แต่ยืนยันว่ามีคนปฏิบัติงานตลอดเวลา
ด้านนายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักเงินสมทบ กล่าวว่า เราได้นำเงินในกองทุนประกันสังคมไปลงทุน 2.03 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 82 นำไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ ลงทุนในพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจ ที่กระทรวงการคลังค้ำประกัน นอกจากนี้ยังมีร้อยละ 18 นำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจในความมั่นคงของกองทุน ทั้งนี้ ในการนำเงินไปลงทุนมีคณะกรรมการประกันสังคมดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยตัวแทนจากนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายองค์กร จึงขอให้มั่นใจได้ว่ามีความเพียงพอที่จะจ่ายเงินเยียวยาและจ่ายสิทธิประโยชน์ในทุกกรณี นอกจากนี้เรื่องการคืนเงินสมทบให้ผู้ประกันตนที่จากเดิมจ่ายมาร้อยละ 5 ก็จะเหลือเพียงร้อยละ1ทำให้ผู้ประกันตนที่มีเงินเดือนมากกว่า 15,000 บาทขึ้นไป ที่หักเงินสมทบเดือนละ 750 บาท ก็จะได้คืน600 บาท ในเวลา 3 เดือน หรือเป็นเงินทั้งสิ้น 1,800 บาท