ผู้จัดการรายวัน360-ศบค. เผยเจอผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 18 ราย จากศูนย์กักกันต่างด้าวผิดกฎหมาย อ.สะเดา ไม่มีรายงานคนไทยติดเชื้อในประเทศ ส่วนการค้นหาเชิงรุก จ.ยะลา สงสัยยืนยัน 40 ราย ผลแล็บศูนย์วิทย์สงขลาไม่พบติดเชื้อ ต้องส่งตรวจครั้งที่ 3 ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ยัน “คลินิกเสริมความงาม” ยังเปิดไม่ได้ เหตุใช้เวลานาน เสี่ยงแพร่เชื้อ เตือนรักษาระยะห่าง หลังพบคนแห่ซื้อเหล้า ลั่นหากพบติดเชื้อเพิ่ม กลับไปเข้มเหมือนเดิม ถ้าดีขึ้น ผ่อนปรนต่อ ด้านสาธารณสุข ห่วงผ่อนปรน เปิดดำเนินกิจการ คนเดินทางมากขึ้น อาจทำผู้ป่วยเพิ่มจนเกิดการระบาดระลอก 2
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า วานนี้ (4 พ.ค.) มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่จำนวน 18 ราย รักษาหายเพิ่ม 1 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 2,987 ราย หายกลับบ้าน 2,740 ราย เสียชีวิตรวม 54 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) 193 ราย ไม่มีรายงานการติดเชื้อในประเทศ โดยผู้ป่วยรายใหม่มาจากคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายที่อยู่ในศูนย์กักกัน อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นผู้หญิง 17 ราย อายุ 13-22 ปี และเพศชาย 1 ราย อายุ 10 ปี รวมแล้วเจอในศูนย์กักกันจำนวน 60 ราย โดยเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2563 เจอไปแล้ว 42 ราย สำหรับกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ในช่วง 28 วัน มี 34 จังหวัด โดยเพิ่มขึ้น 2 จังหวัด คือ สระบุรี และอุบลราชธานี ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยในช่วง 28 วัน มี 34 จังหวัด ถือว่าขณะนี้เท่ากันแล้ว
สำหรับข้อสงสัยการตรวจเชิงรุกที่ จ.ยะลา แล้วเจอผู้สงสัยป่วยยืนยัน 40 รายนั้น โดยจ.ยะลา เริ่มทำการค้นหาเชิงรุกตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. เจอผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 126 ราย โดยการค้นหาเชิงรุกในทุกอำเภอ จ.ยะลา จำนวน 3,277 คน ตรวจพบ 20 คน บางอำเภอเจอ บางอำเภอไม่เจอ โดยจาก 20 คนที่เจอ จึงเจาะลึกลงมีผู้เกี่ยวข้องเท่าไร ก็พบสัมผัส 671 คน ก็เอาทีมลงไปซักประวัติ พูดคุย หาแน่ๆ ว่าสัมผัสจริงๆ เท่าไร ออกมาที่ 222 คน เมื่อตรวจเชื้อก็พบ 6 คน และก็ค้นหาผู้สัมผัสที่เกี่ยวข้องจาก 6 คนนี้อีก เป็นที่มาของการตรวจเพิ่มคนอีกกลุ่มใหญ่ 311 คน ที่เพิ่งตรวจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนเจอว่าตรวจพบ 40 คน
“ที่ผ่านมา ยะลาจะส่งตรวจแล็บศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.สงขลา แต่ล่าสุด รพ.ศูนย์ยะลา เพิ่งพัฒนาแล็บขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ มีแล็บสงขลาเป็นพี่เลี้ยง แต่ผลตรวจไม่เป็นทางการออกไปก่อน ซึ่งต้องตรวจสอบกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สงขลาอีก ผลยืนยันว่าไม่พบเลยทั้ง 40 ราย แต่กระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าตรวจแค่ 2 แล็บไม่พอ จะต้องส่งแล็บส่วนกลาง คือ แล็บกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้ง จึงยังไม่มีการยืนยัน แต่ถ้าผลออกมาอย่างไร ไม่มีการปกปิดเด็ดขาด เพราะยุคนี้ การรับรู้ข้อมูลสำคัญที่สุด”
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม เป็นหนึ่งในกิจการที่ต้องมีคำสั่งปิดสถานที่ เพราะมีความเสี่ยงในการแพร่โรค อยู่ในกลุ่มเดียวกับโรงมหรสพ ผับบาร์ สถานบันเทิงต่างๆ อธิบดีกรมควบคุมโรคให้ความเห็นว่าเพราะต้องใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในคลินิกเสริมความงามนาน และเหตุผลความจำเป็นในช่วงเวลานี้ ก็ยังจำเป็นน้อย เลยขอให้มาอยู่ในกลุ่มนี้ก่อน ยืนยันว่ายังต้องปิดอยู่
ส่วนกรณีประชาชนซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีภาพความแออัด รวมกลุ่มจำนวนมาก หรือรวมตัวรับของบริจาค ส่งผลต่อการทบทวนมาตรการหรือไม่นั้น ตรงนี้ถือเป็นตัวอย่างและข้อเตือนใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยขอให้ยึดหลัก 5 ข้อเหมือนเดิม คือ 1.ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส 2.สวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำ 3.ล้างมือบ่อยๆ 4.เว้นระยะห่าง 1 เมตร และ 5.อย่าให้มีแออัด โดยมี 14 วันเปลี่ยนผ่าน ถ้าร่วมมือกันใช้มันอย่างคุ้มค่า ตัวเลขการติดเชื้อน้อยลงแล้วจะได้ไปสู่ระยะที่ 2 ที่มีพื้นที่ ที่จะไปได้มากกว่านี้ ซึ่งต้องเกิดจากความร่วมมือร้อยเปอร์เซ็นต์
“ศบค.จะจัดชุดข้อมูลเก็บเป็นสถิติ ถ้าผ่อนปรนแล้ว ตัวเลขติดเชื้อน้อยจะขยับในขั้นผ่อนปรนระยะต่อไป แต่ถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น มาตรการจะต้องถูกทบทวน ไม่ว่าจะให้หยุดหรือกลับไปที่เดิมเป็นการบังคับที่มีข้อจำกัดมากมาย เพื่อไม่ให้เราต้องป่วย ทำให้เราไม่ต้องตาย สิ่งที่เราร่วมกันมา 1 เดือนมีความหมายกับเรา และอีก 14 วันจากนี้ ก็มีความหมายมาก ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำมากกว่าผู้ใช้บริการ และผู้ใช้บริการต้องให้ความร่วมมือและตรวจสอบผู้ประกอบการ ขณะที่ภาครัฐจะกำกับติดตามดูแลตรวจสอบทั้งสองส่วน เราต้องทำงานร่วมกันทั้งหมดสามส่วนนี้”นพ.ทวีศิลป์กล่าว
สำหรับการปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ด้านความมั่งคง ระหว่างวันที่ 3 พ.ค.เวลา 22.00 น. ถึงช่วงเช้าวันที่ 4 พ.ค. พบผู้ออกนอกเคหะสถาน 690 ราย เพิ่มขึ้น 136 ราย มีผู้ชุมนุมมั่วสุม 129 ราย เพิ่มขึ้น 22 ราย ซึ่งพบว่าการดื่มสุรามาเป็นอันดับ 1 ที่ 60% เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 พ.ค. มีการผ่อนปรนให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ อันดับ 2 คือ การพนัน 21% และอันดับ 3 เสพยาติด 11%
ขณะที่คนไทย ที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ จะมาจากมัลดีฟ 131 คน จากฮ่องกง 162 คน และในวันที่ 5 พ.ค. จะมาจากฝรั่งเศส 16 คน จากอินเดีย 220 คน ส่วนคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก เมียนมา 1 คน สปป.ลาว 54 คน กัมพูชา 23 คน และมาเลเซีย 387 คน ซึ่งทั้งหมดที่เข้ามาจะอยู่ในสถานกักกัน 14 วัน
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วานนี้ (4 พ.ค.) เป็นวันที่ 2 หลังรัฐบาลผ่อนปรนให้เปิด 6 กิจการ ทำให้ประชาชนเดินทางมากขึ้น ออกมาพบปะกันมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ดังนั้น เมื่อกลับมามีการเดินทางพบปะมากขึ้น มีการเปิดกิจการมาใช้บริการ ก็ต้องระมัดระวังเพื่อให้โรคจะไม่กลับมาระบาดในประเทศไทย จึงต้องลดความเสี่ยงไปใช้บริการ ลดจำนวนคนเข้าใช้บริการแต่ละช่วงเวลา คัดกรองคนมีไข้ไม่ให้เข้าใช้บริการ ใช้หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เจลล้างมือทำความสะอาด ไม่เอามือมาสัมผัสใบหน้าจมูกปากขยี้ตา ถ้าทำได้ดี จะไม่เห็นการระบาดในระลอกที่สอง ซึ่งหลายประเทศระบาดระลอกสอง จะมากกว่าครั้งแรก ไทยอยู่รอยต่อระหว่างระลอกที่หนึ่งก็หวังว่าจะไม่เจอระลอกสอง หรือถ้ากลับมาใหม่ แต่มีผู้ป่วยมาน้อยๆ ก็รับมือได้มีประสิทธิภาพ
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า วานนี้ (4 พ.ค.) มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่จำนวน 18 ราย รักษาหายเพิ่ม 1 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ยอดผู้ป่วยสะสมรวม 2,987 ราย หายกลับบ้าน 2,740 ราย เสียชีวิตรวม 54 ราย ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) 193 ราย ไม่มีรายงานการติดเชื้อในประเทศ โดยผู้ป่วยรายใหม่มาจากคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายที่อยู่ในศูนย์กักกัน อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นผู้หญิง 17 ราย อายุ 13-22 ปี และเพศชาย 1 ราย อายุ 10 ปี รวมแล้วเจอในศูนย์กักกันจำนวน 60 ราย โดยเมื่อวันที่ 25 เม.ย.2563 เจอไปแล้ว 42 ราย สำหรับกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ในช่วง 28 วัน มี 34 จังหวัด โดยเพิ่มขึ้น 2 จังหวัด คือ สระบุรี และอุบลราชธานี ส่วนจังหวัดที่มีผู้ป่วยในช่วง 28 วัน มี 34 จังหวัด ถือว่าขณะนี้เท่ากันแล้ว
สำหรับข้อสงสัยการตรวจเชิงรุกที่ จ.ยะลา แล้วเจอผู้สงสัยป่วยยืนยัน 40 รายนั้น โดยจ.ยะลา เริ่มทำการค้นหาเชิงรุกตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. เจอผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น 126 ราย โดยการค้นหาเชิงรุกในทุกอำเภอ จ.ยะลา จำนวน 3,277 คน ตรวจพบ 20 คน บางอำเภอเจอ บางอำเภอไม่เจอ โดยจาก 20 คนที่เจอ จึงเจาะลึกลงมีผู้เกี่ยวข้องเท่าไร ก็พบสัมผัส 671 คน ก็เอาทีมลงไปซักประวัติ พูดคุย หาแน่ๆ ว่าสัมผัสจริงๆ เท่าไร ออกมาที่ 222 คน เมื่อตรวจเชื้อก็พบ 6 คน และก็ค้นหาผู้สัมผัสที่เกี่ยวข้องจาก 6 คนนี้อีก เป็นที่มาของการตรวจเพิ่มคนอีกกลุ่มใหญ่ 311 คน ที่เพิ่งตรวจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนเจอว่าตรวจพบ 40 คน
“ที่ผ่านมา ยะลาจะส่งตรวจแล็บศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.สงขลา แต่ล่าสุด รพ.ศูนย์ยะลา เพิ่งพัฒนาแล็บขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ มีแล็บสงขลาเป็นพี่เลี้ยง แต่ผลตรวจไม่เป็นทางการออกไปก่อน ซึ่งต้องตรวจสอบกับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สงขลาอีก ผลยืนยันว่าไม่พบเลยทั้ง 40 ราย แต่กระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าตรวจแค่ 2 แล็บไม่พอ จะต้องส่งแล็บส่วนกลาง คือ แล็บกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้ง จึงยังไม่มีการยืนยัน แต่ถ้าผลออกมาอย่างไร ไม่มีการปกปิดเด็ดขาด เพราะยุคนี้ การรับรู้ข้อมูลสำคัญที่สุด”
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม เป็นหนึ่งในกิจการที่ต้องมีคำสั่งปิดสถานที่ เพราะมีความเสี่ยงในการแพร่โรค อยู่ในกลุ่มเดียวกับโรงมหรสพ ผับบาร์ สถานบันเทิงต่างๆ อธิบดีกรมควบคุมโรคให้ความเห็นว่าเพราะต้องใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในคลินิกเสริมความงามนาน และเหตุผลความจำเป็นในช่วงเวลานี้ ก็ยังจำเป็นน้อย เลยขอให้มาอยู่ในกลุ่มนี้ก่อน ยืนยันว่ายังต้องปิดอยู่
ส่วนกรณีประชาชนซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีภาพความแออัด รวมกลุ่มจำนวนมาก หรือรวมตัวรับของบริจาค ส่งผลต่อการทบทวนมาตรการหรือไม่นั้น ตรงนี้ถือเป็นตัวอย่างและข้อเตือนใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยขอให้ยึดหลัก 5 ข้อเหมือนเดิม คือ 1.ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัส 2.สวมหน้ากากอนามัยเป็นประจำ 3.ล้างมือบ่อยๆ 4.เว้นระยะห่าง 1 เมตร และ 5.อย่าให้มีแออัด โดยมี 14 วันเปลี่ยนผ่าน ถ้าร่วมมือกันใช้มันอย่างคุ้มค่า ตัวเลขการติดเชื้อน้อยลงแล้วจะได้ไปสู่ระยะที่ 2 ที่มีพื้นที่ ที่จะไปได้มากกว่านี้ ซึ่งต้องเกิดจากความร่วมมือร้อยเปอร์เซ็นต์
“ศบค.จะจัดชุดข้อมูลเก็บเป็นสถิติ ถ้าผ่อนปรนแล้ว ตัวเลขติดเชื้อน้อยจะขยับในขั้นผ่อนปรนระยะต่อไป แต่ถ้าตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น มาตรการจะต้องถูกทบทวน ไม่ว่าจะให้หยุดหรือกลับไปที่เดิมเป็นการบังคับที่มีข้อจำกัดมากมาย เพื่อไม่ให้เราต้องป่วย ทำให้เราไม่ต้องตาย สิ่งที่เราร่วมกันมา 1 เดือนมีความหมายกับเรา และอีก 14 วันจากนี้ ก็มีความหมายมาก ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำมากกว่าผู้ใช้บริการ และผู้ใช้บริการต้องให้ความร่วมมือและตรวจสอบผู้ประกอบการ ขณะที่ภาครัฐจะกำกับติดตามดูแลตรวจสอบทั้งสองส่วน เราต้องทำงานร่วมกันทั้งหมดสามส่วนนี้”นพ.ทวีศิลป์กล่าว
สำหรับการปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ด้านความมั่งคง ระหว่างวันที่ 3 พ.ค.เวลา 22.00 น. ถึงช่วงเช้าวันที่ 4 พ.ค. พบผู้ออกนอกเคหะสถาน 690 ราย เพิ่มขึ้น 136 ราย มีผู้ชุมนุมมั่วสุม 129 ราย เพิ่มขึ้น 22 ราย ซึ่งพบว่าการดื่มสุรามาเป็นอันดับ 1 ที่ 60% เนื่องจากเมื่อวันที่ 3 พ.ค. มีการผ่อนปรนให้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ อันดับ 2 คือ การพนัน 21% และอันดับ 3 เสพยาติด 11%
ขณะที่คนไทย ที่จะเดินทางกลับจากต่างประเทศ จะมาจากมัลดีฟ 131 คน จากฮ่องกง 162 คน และในวันที่ 5 พ.ค. จะมาจากฝรั่งเศส 16 คน จากอินเดีย 220 คน ส่วนคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศผ่านจุดผ่านแดนทางบก เมียนมา 1 คน สปป.ลาว 54 คน กัมพูชา 23 คน และมาเลเซีย 387 คน ซึ่งทั้งหมดที่เข้ามาจะอยู่ในสถานกักกัน 14 วัน
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค (คร.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า วานนี้ (4 พ.ค.) เป็นวันที่ 2 หลังรัฐบาลผ่อนปรนให้เปิด 6 กิจการ ทำให้ประชาชนเดินทางมากขึ้น ออกมาพบปะกันมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า ดังนั้น เมื่อกลับมามีการเดินทางพบปะมากขึ้น มีการเปิดกิจการมาใช้บริการ ก็ต้องระมัดระวังเพื่อให้โรคจะไม่กลับมาระบาดในประเทศไทย จึงต้องลดความเสี่ยงไปใช้บริการ ลดจำนวนคนเข้าใช้บริการแต่ละช่วงเวลา คัดกรองคนมีไข้ไม่ให้เข้าใช้บริการ ใช้หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เจลล้างมือทำความสะอาด ไม่เอามือมาสัมผัสใบหน้าจมูกปากขยี้ตา ถ้าทำได้ดี จะไม่เห็นการระบาดในระลอกที่สอง ซึ่งหลายประเทศระบาดระลอกสอง จะมากกว่าครั้งแรก ไทยอยู่รอยต่อระหว่างระลอกที่หนึ่งก็หวังว่าจะไม่เจอระลอกสอง หรือถ้ากลับมาใหม่ แต่มีผู้ป่วยมาน้อยๆ ก็รับมือได้มีประสิทธิภาพ