เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาจากตัวเลขของยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ล่าสุด เมื่อวันจันทร์ที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา ตามที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ว่า มีผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 9 ราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวน “ต่ำสิบ” เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์
ขณะที่ยอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 15 ราย มีจำนวนหายป่วยสะสมที่ 2,609 ราย หรือ ร้อยละ 89.01 เหลือที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลแค่ 270 ราย ซึ่งถือว่าสถานการณ์คลี่คลายลงไปเป็นอันมาก นั่นคือ การรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อ จะไม่อยู่ในภาวะวิกฤต บรรดาอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ก็จะคลายความกดดันลงไปเป็นอันมาก
จากตัวเลขที่แถลงล่าสุดดังกล่าว พอสรุปในเวลานี้ได้ว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการระงับยับยั้งการแพร่ระบาด รวมไปถึงการดูแลรักษาผู้ป่วยที่เกือบจะเข้าสู่ภาวะระบาดหนักในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และ มีนาคม ต่อเนื่องมาจนถึงเดือนเมษายน ได้อย่างดีเยี่ยม จนได้รับคำชมเชยจากองค์การอนามัยโลก จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ว่า มีมาตรการและการรักษาโรคได้ดีกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะหลายประเทศในยุโรป และอเมริกา ที่คุยว่า มีระบบการรักษาและมีมาตรฐานด้านสาธารณสุขในระดับต้นๆ ของโลกมาตลอด หลังจากในตอนนี้ระบบการรักษาพยาบาลถือว่า “เดี้ยง” อันเนื่องจากการแพร่ระบาด และมีจำนวนผู้ติดเชื้อจนเหนือการควบคุม
แม้ว่าในเวลานี้จะระบุว่า จำนวนยอดผู้ติดเชื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงมาแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากตัวเลขแล้ว ทั้งผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต ก็ยังมีจำนวนสูงจนน่าวิตกกันอยู่ ยังมีคนตายเป็นใบไม้ร่วงในบางประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา และในยุโรปอีกหลายประเทศ และบางประเทศที่กำลังเริ่มเข้าสู่การระบาดใหม่ เช่น รัสเซีย ตุรกี รวมไปถึงประเทศในแถบอเมริกาใต้ เช่น บราซิล เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ก็ต้องถือว่าน่าหวาดเสียวเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการระบาดตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ต่อเนื่องมาจนถึงกลางเดือนมีนาคม ก่อนที่จะประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน หลายคนเชื่อว่า “จะเอาไม่อยู่” เพราะเริ่มมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น “หลักร้อย” กำลังจะเข้าการระบาดใน “ระดับสาม” นั่นคือ การระบาดแบบไม่รู้ที่มา หรือ “ควบคุมไม่ได้” อยู่แล้ว ตอนนั้นหากจำกันได้บรรยากาศเริ่มโกลาหล มีการตื่นตระหนก มีการกักตุนสินค้า
ที่สำคัญ ในเวลานั้นคนที่ถูกกระหน่ำโจมตีอย่างหนัก ก็คือ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จากเดิมที่โดนอยู่แล้ว แต่เมื่อเจอสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ก็ยิ่ง “โดนเป็นสองเท่า” จากการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่มีฝ่ายค้านและฝ่ายแค้น ผสมโรงกันเข้ามาเพื่อหวังใช้สถานการณ์นี้ “โค่น” ลุงตู่ ลงมาให้ได้
ในตอนนั้นถึงขั้นรณรงค์กันแบบใช้คำว่า “ผู้นำไม่ฉลาด เราจะตายกันหมด” รวมไปถึงการกระหน่ำโจมตีจากมาตรการเยียวยาแจกเงิน 5 พันบาท ที่ในตอนแรกก็มี “ดรามา” กันรายวัน ทำเอาซวนเซไปเหมือนกัน แต่เมื่อเริ่มตั้งหลักได้ มีการแก้ไขเปิดให้มีการอุทธรณ์สิทธิ์ แก้ไขหรือมีการยกเลิก สละสิทธิ์ มีการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปพิสูจน์กันทั่วประเทศ ก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอย สามารถสกรีนคนออกไปจำนวนมาก และมีการส่งเงินเข้าบัญชีรวมแล้วเกือบห้าล้านคนแล้ว
ขณะเดียวกัน ยังจะมีลอตสองตามมา นั่นคือ การช่วยเหลือเยียวยาให้กับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศตามมาอีกในเร็วๆ นี้ รวมแล้วกว่าสิบล้านคน ถือว่ามีจำนวนไม่น้อย ซึ่งแน่นอนว่า รายการแบบนี้ไม่ว่าใครทำก็ย่อมมีปัญหา แต่ด้วยระบบที่มีการตรวจสอบเข้มงวด และการแก้ไขปรับปรุงก็ทำให้ปัญหาลดลงไป และถึงมือชาวบ้านโดยตรง ไม่มีหักหัวคิวเหมือนในอดีต อย่างมากปัญหาที่เกิดขึ้น ก็คือ การให้ข้อมูลเท็จ แต่นั่นเมื่อมีการตรวจสอบภายหลัง หากยังไม่กลับตัวขอสละสิทธิ์ ก็จะถูกเช็กบิลทางคดีภายหลัง และแม้ว่าถึงอย่างไรก็มีการรั่วไหลไม่ตรงเป้าบ้าง แต่หากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรมก็ถือว่าส่วนใหญ่ถึงมือคนที่เดือดร้อน แม้จะมีปัญหาเหมือนกับวุ่นวายในตอนแรกๆ แต่หากโฟกัสให้ดีก็จะเห็นภาพ “การเมือง” ที่มีการ “จัดฉากมาป่วน” ผสมโรงกันเข้ามา
แต่หากให้สรุปภาพรวมในเวลานี้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถ “เอาอยู่” นั่นคือ สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคตามคำแนะนำตามมาตรฐานสาธารณสุขได้ดี และนับจากนี้ไปแม้ว่าจะมีการขยายการบังคับใช้ พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีก แต่ขณะเดียวกัน ก็จะเริ่มมาตรการผ่อนคลายให้มีการทำธุรกิจบางอย่างเริ่มกลับมา “รีสตาร์ท” กันใหม่
และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกันภาพแบบนี้ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้าม “หงุดหงิด” เพราะนั่นเท่ากับยิ่งต่ออายุ และเพิ่มเสถียรภาพให้กับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะเพิ่มความมั่นคงให้กับ “ลุงตู่” ขึ้นไปอีก
เพราะหากนับเวลาอีกไม่กี่เดือนรัฐบาลชุดนี้ก็จะอายุครบหนึ่งปีแล้ว จากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ง่อนแง่นรายวัน กลายมาเป็นเสียงสนับสนุนเหลือเฟือ หรือเจอภัยแล้ง ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ปัญหาสงครามการค้า และล่าสุด เจอโควิด-19 หลายคนเชื่อว่า “ลุงตู่ไปแน่” แต่กลายเป็นว่ายิ่งสร้างความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น มันถึงทำให้ “บางกลุ่ม” จะอกแตกตาย และอย่าได้แปลกใจที่เริ่มเห็นสัญญาณเขย่าเข้ามาทุกทิศทางเอาให้ป่วนให้ได้ เวลานี้ก็พอมองเห็นกันแล้ว !!