ยังเป็นข่าวดีต่อเนื่องต่อไปสำหรับตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ล่าสุดจากการแถลงของโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ที่แถลงเมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา ว่า มีเพิ่มขึ้นอีก 13 ราย ลดลงจากก่อนหน้านี้ ที่มี 15 ราย ทำให้มีผู้ป่วยสะสมจำนวน 2,839 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ขณะที่มีผู้หายป่วยกลับบ้านได้เพิ่มขึ้นมาอีก 78 ราย รวม 2,430 ราย
โดยรวมๆ แล้ว ก็ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ กว่าวันก่อนๆ ในความหมายที่ว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้มากขึ้น แม้ว่ายังไม่อาจสรุปแบบเต็มร้อย แต่ถือว่าทำได้ดี อย่างน้อยตัวเลขผู้ป่วยใหม่ที่ลดลงจนใกล้แตะเลขหลักหน่วย หรือเลขตัวเดียวเข้าไปทุกทีแล้ว
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้มีการพูดถึงกันในเรื่องการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ โดยอนุญาตให้บางธุรกิจสามารถกลับมาให้บริการได้แบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีการมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวดต่อไป โดยมีบางจังหวัด บางพื้นที่ที่เริ่มมีการพิจารณากันถึงเรื่องดังกล่าวแล้ว
ขณะเดียวกัน ในฝั่งรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็กล่าวเป็นนัยเหมือนกับการส่งสัญญาณตามสถานการณ์แล้วว่าจะมีการพิจารณาตัดสินใจว่าจะต่อพระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 เมษายน นี้ ออกไปอีกหรือไม่ ซึ่งจะมีการประชุมพิจารณากันในวันจันทร์ที่ 27 เมษายน ก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันถัดไป
แต่เท่าที่ประเมินเชื่อว่า น่าจะมีการขยายเวลาประกาศใช้ พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปแน่นอน จะอีก 30 วัน หรือน้อยกว่านั้นก็แล้วแต่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการประกาศครั้งละ 30 วัน
อย่างไรก็ดี พอจะจับสัญญาณได้ว่า แม้จะมีการขยายการบังคับใช้พระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินออกไป แต่เชื่อว่าจะต้องมีการ “คลายล็อก” นั่นคือ จะต้องการผ่อนปรนบางมาตรการเพื่อให้บางธุรกิจกลับมา “รีสตาร์ท” กันอีกครั้ง เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ อีกทั้งจะเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลงบ้าง หลังถูก “ล็อกดาวน์” มานาน
อีกทั้งยังเป็นการลดความตึงเครียดของประชาชนและสังคม เหมือนกับ “ปล่อยรูระเหย” ออกไป เพื่อลดแรงกดดัน หลังจากมีมาตรการเข้มงวดมานานหลายสัปดาห์ อย่างไรก็ดี ย้ำว่า ยังเป็นแค่ “ผ่อนปรน” มากขึ้นเท่านั้น หลายมาตรการยังมีความเข้มงวด เผ้าระวังอยู่ต่อไป เนื่องจากยัง “ปล่อยฟรี” ไม่ได้ เนื่องจากได้เห็นตัวอย่างจากบางประเทศที่พอผ่อนคลายแล้วกลับมาระบาดหนักหน่วงรอบใหม่ หนักกว่าเดิม
แต่สิ่งที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ก็คือ เมื่อพูดถึงสถานการณ์ถัดไปนับจากนี้ก็ต้องพูดถึงมาตรการ “ฟื้นฟูเยียวยา” ที่ต้องตามมา และที่ผ่านมา รัฐบาลก็ได้ออกพระราชกำหนดเงินกู้จำนวนเกือบสองล้านล้าน รองรับเอาไว้แล้ว ยังไม่นับพระราชกำหนดจัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนหรือกองทุน BSF วงเงินสี่แสนล้านบาท ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อซื้อตราสารหนี้หรือหุ้นกู้บริษัทเอกชนที่มีคุณภาพ
แน่นอนว่า บรรยากาศหลังจากนี้ก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบ หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับการถูกบังคับ ถูกห้าม หรือตกอยู่ในความตื่นตระหนกเป็นเวลานาน อีกทั้งยังอยู่ในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้หลายคนเกิดความเครียด เกิดความกดดัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความเครียดที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ ความจน สภาพที่ต้องตกงาน ไม่มีรายได้ ทุกอยางประดังทับถมเข้ามาทุกทาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมมีความอ่อนไหวได้ตลอดเวลา
และที่สำคัญ ยังมีการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่จ้องเล่นงาน คอยแซะ คอยป่วนอยู่ตลอดเวลา เพราะที่ผ่านมาพวกเขาเหมือนกับกับถูก “กันออกนอกเวที” มาพักหนึ่งแล้ว แน่นอนว่า คนพวกนี้ไม่ต่างจากพวก “ฝ่ายแค้น” ที่หาจังหวะ และที่ผ่านมา ก็ผิดคาด คิดว่าด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 คราวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้อง “ล่องจุ๊น” เป็นแน่ เพราะดูจากอาการในช่วงแรกที่ไทยเริ่มเจอกับการระบาดหนัก ต่อจากประเทศจีนที่เมืองอู่ฮั่น ที่คราวนั้น
หากยังจำกันได้เมื่อราวๆ ปลายมกราคม ต้นมีนาคม ไทยมีผู้ติดเชื้อรายแรกนอกประเทศจีน และมีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับสองของโลก เลยทีเดียว แต่มาวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ
ความมั่นใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากประชาชนกลับเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ฝ่ายค้านจำต้องหุบปากเงียบเสียงชั่วคราว แต่หลังจากนี้ ก็เริ่มเห็นการออกมาส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ และเชื่อว่า ในสถานการณ์นับจากนี้ที่ต้องมีมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู “ลุงตู่” จะต้องโดนหนักแบบ “ตำบลกระสุนตก” แน่นอน และที่สำคัญ ต้องระวังเรื่องการทุจริตที่เชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นจากบรรดาเจ้าหน้าที่ ที่ต้องกำชับกันล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเป็นจุดอ่อนสำคัญที่จะไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
ดังนั้น แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะพอเบาใจได้บ้าง และกำลังจะเข้าสู่มาตรการการฟื้นฟูเยียวยา แต่งานนี้หนักหนาสาหัส เพราะเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า และทุกสายตา กดดันมาที่ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจุดเดียว ไม่ต่างจากดงกระสุนตก หากพลาดก็อาจจบไม่สวย แม้ว่าที่ผ่านมาจะสร้างมาตรการไว้ได้ดีแล้วก็ตาม แต่ฝ่ายตรงข้ามจะไม่ยอมให้สร้างผลงานอยู่ยาวง่ายๆ นักหรอก ต้องทำทุกช่องทาง ขัดขาให้ล้มลงให้ได้ !!