เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็น “Amarica first” ในแบบแชมป์โลกตลอดกาลไปแล้ว สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ จากจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมากที่สุดในโลก ที่นาทีนี้รับรองว่ายากมากที่สุดที่จะมีประเทศไหนตามทัน
ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นไปถึง 938,072 ราย เสียชีวิต 53,751 ราย โอ้ แม่เจ้า!! อีกไม่กี่ชั่วโมงยอดผู้ติดเชื้อก็จะทะลุหลักล้านคนแล้ว
ขณะที่ตัวเลขในทวีปยุโรป สถานการณ์ก็ไม่ได้แตกต่างกัน แม้ว่าจะบอกว่าได้ผ่านจุดระบาดสูงสุดไปแล้ว ทำให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มในอัตราที่ลดลง แต่ถึงอย่างไรเมื่อพิจารณาไล่เรียงไปทีละประเทศ ตั้งแต่ สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ รัสเซีย ตุรกี เป็นต้น ที่ถือว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นหลักพัน หลายพัน และหลายร้อยคนต่อวัน ก็ถือว่ายังหนักหน่วง ไม่พ้นขั้นวิกฤตเท่าใดนัก
อย่างไรก็ดี แม้ว่ายังมีการแพร่ระบาด และมีผู้ติดเชื้อ มีผู้เสียชีวิตหลักร้อย หลักพัน แต่ประเทศในแถบยุโรปและอเมริกา หลายประเทศเริ่ม “คลายล็อก” เริ่มอนุญาตให้ประชาชนเริ่มออกมาใช้ชีวิตข้างนอก รวมไปถึงมีการอนุญาตให้มีการทำธุรกิจบางอย่างได้มากขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกัน หลายประเทศดังกล่าวได้รับแรงกดดันจากประชาชน ที่ยึดมั่นในเรื่อง “เสรีภาพ” ไม่ยอมรับคำสั่งเข้มงวดให้กักตัวอยู่แต่ในบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยพวกเขาเห็นว่า “เสรีภาพ”เป็นเรื่องสำคัญ และการใช้ชีวิตปกติจะต้องดำเนินต่อไป ดังจะเห็นในหลายประเทศที่มีการประท้วงคำสั่งของทางการ
แต่ก็มีบางประเทศที่น่าจับตา ก็คือ ประเทศสวีเดน ที่ไม่มีคำสั่งล็อกดาวน์ โดยยังอนุญาตให้ประชาชนยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติ โรงเรียน สถานบันเทิง ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ เพียงแต่ขอร้องให้ประชาชนแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ให้เว้นระยะห่างเอาไว้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ จนเป็นโมเดลให้ทั่วโลกได้จับตามองว่า จะได้ผลหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรประเทศสวีเดน ถือเป็นประเทศในยุโรปที่มีระบบบริการสาธารณสุขดีระดับโลก จึงยังไม่พบปัญหาการขาดแคลนในเรื่องการรักษา และขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่อย่างไรก็ดี ล่าสุดเริ่มมีรายงานที่น่าเป็นห่วงแล้ว หลังจากพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด จนทางการขู่ว่าอาจต้องมีมาตรการที่เข้มงวดมากกว่านี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า อาจมีมาตรการ ล็อกดาวน์ตามมาก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องโฟกัสกัน ทั้งประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ก็คือ แม้ว่าสถานการณ์ในประเทศแถบยุโรปหลายประเทศถูกระบุว่า “เริ่มดีขึ้น” ตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ามีตัวเลขที่สูงอยู่ และส่วนใหญ่จะเป็นการขอความร่วมมือให้ “เว้นระยะห่างทางสังคม” แต่น้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ที่รณรงค์ให้สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ ผู้คนในแถบยุโรปและอเมริกา มีความเชื่อและทัศนคติไปอีกทางหนึ่งว่า คนที่ป่วยเท่านั้นที่ควรสวมหน้ากากอนามัย หรือสำหรับแพทย์และพยาบาลเท่านั้น อีกทั้งหลังจากนั้นก็อ้างว่า เพื่อป้องกันการขาดแคลนสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และการไม่บังคับให้สวมหน้ากากอนามัยอย่างจริงจังดังกล่าว จึงทำให้เกิดการแพร่ระบาดและเสียชีวิตกันมากมาย ซึ่งตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับผู้คนทางเอเซีย ที่ใช้วิธีสวมหน้ากากอนามันป้องกันโรค
และด้วยทัศนคติแบบนี้ หากยังจำกันได้มีคนเอเชียจำนวนมากที่ถูกดูถูกเหยียดหยามจากชาวตะวันตก บางครั้งถึงขั้นถูกทำร้าย ถูกมองด้วยสายตารังเกียจ แต่มาวันนี้ แม้ว่าด้วยการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันทาง “ลมหายใจ” เราก็เริ่มเห็นคนในประเทศเหล่านั้นเริ่มหันมาสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองมากขึ้น แต่ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่สวม
ขณะที่ สหรัฐอเมริกา กลับน่าสนใจยิ่งกว่า เพราะแม้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อ และมีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก ใกล้แตะ 1 ล้านคนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า และมีผู้เสียชีวิตเกือบจะแตะ 6 หมื่นศพ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในขั้นวิกฤต แต่ก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวในแบบการ“ต่อต้าน”มาตรการล็อกดาวน์ของแต่ละรัฐอย่างเข้มงวด มากขึ้นเรื่อยๆ มีการออกมาประท้วง ขัดขืนกันในหลายรัฐ เรียกร้องให้กลับมาใช้ชีวิตแบบปกติ รวมทั้งต้องการให้เปิดธุรกิจทันที โดยมีบางรัฐได้เริ่มผ่อนปรนให้มีการดำเนินการอย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเกิดความวิตกว่า การแพร่ระบาดหนักหน่วงระลอกใหม่จะเกิดขึ้นซ้ำอีกก็ตาม โดยเฉพาะคำเตือนจากบุคลากรทางการแพทย์ ที่ถึงขั้นออกมาขวางหน้ารถของผู้ต้องการเดินขบวนในหลายรัฐก่อนหน้านี้
แน่นอนว่า ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวในสหรัฐฯ มีเรื่องการเมืองเจือปนระหว่างสองพรรค คือ เดโมแครต และ รีพับลิกัน ที่แต่ละรัฐมีผู้ว่าการรัฐอยู่คนละพรรคการเมืองกัน รวมไปถึงประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ที่ต้องการให้มีการเดินเครื่องทางเศรษฐกิจในทันที เนื่องจากมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนเป็นเดิมพัน
แต่ถึงอย่างไร เมื่อมองย้อนกลับไปถึงต้นเหตุของการแพร่ระบาดและลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตในครั้งนี้ สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ ก็คือ ทัศนคติในเรื่องการไม่ยอมสวมหน้ากากอนามัยหากไม่ได้เป็นคนป่วย และที่ผ่านมาผู้นำสหรัฐฯ ก็ยังแสดงท่าทีเหยียดหยามจีน ถึงกับเรียกว่า “ไวรัสจีน” และก่อนหน้านั้น เมื่อราวต้นปี ทรัมป์ ก็คุยโวว่า “เอาอยู่” เพราะสหรัฐฯ มีระบบสาธารณสุขที่ดีเยี่ยมของโลก เรียกว่า “ประมาทเต็มขั้น”
กระทั่งมาถึงวันนี้ ก็ยังไม่ยอมรับความจริง ยังมัวแต่กล่าวหาจีน และองค์การอนามัยโลกว่าผิดพลาด จนถูกวิจารณ์ว่ากลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเอง จึงต้องหา “แพะ” หรือเปล่า
แต่ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเท่าที่เห็น เมื่อพิจารณาจากความแตกแยก และการแก้ปัญหาแบบหวังผลทางการเมืองเป็นหลัก ประกอบกับยังถือดี กลัวเสียฟอร์มประเทศยักษ์ใหญ่ มหาอำนาจ ก็น่าจะพยากรณ์ได้ล่วงหน้าไม่ยากว่าสหรัฐอเมริกา จะต้องมีผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะนี้เกินล้านคนไปจำนวนมาก และมีคนตายอีกเป็นเบือ !!