โฆษก ศบค.แถลงขยายขอบเขตผู้ป่วยตรวจโควิด-19 ฟรี โต้ตรวจน้อย เทียบเกาหลีใต้ไม่ต่างกัน ซ่อนตัวเลขไม่ได้ มีคนตายปิดไม่มิด ระบุผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวลดเหลือพันกว่าคน แต่ไม่น่าดีใจต้องลดถึงหลักร้อย ชี้คนกลับจาก ตปท.ต้องพักตามที่รัฐจัด
วันนี้ (8 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า ขณะนี้มีการขยายขอบเขตนิยามผู้ป่วยที่ต้องสอบสวนโรคซึ่งจะได้รับการตรวจฟรีจากรัฐบาล เพิ่มเป็นกลุ่มก้อนที่มาจากต่างประเทศ มีอุณหภูมิ 37.3 ขึ้น หรือมีการของระบบทางเดินหายใจ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หายใจลำบาก จะมีไข้หรือไม่หากมีอาการนี้สามารถตรวจได้, กลุ่มที่เฝ้าระวังในสถานพยาบาล มีอุณหภูมิ 37.5 ขึ้นไป มีไข้ และมีอาการข้างต้น หรือปอดอักเสบ หรือมีประวัติเดินทางไปพื้นที่ที่มีการติดเชื้อ, กลุ่มเฝ้าระวังบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้อำนาจแพทย์ผู้ตรวจหากสงสัยสามารถตรวจได้เลย, กลุ่มเฝ้าระวังการป่วยเป็นกลุ่มก้อน หากใครอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มในสถานที่ทำงาน หากมีอาการป่วยพร้อมๆ กันสามารถเข้าไปตรวจได้เลย อย่างไรก็ตาม ส่วนที่กังวลกันว่าประเทศไทยตรวจน้อยเลยพบผู้ป่วยน้อยนั้น จากการประเมินตัวเลขทั่วโลกจะพบว่าถ้าเราเลือกตรวจในจุดที่มีความเสี่ยงจะได้ผลไม่ต่างกัน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ยกตัวอย่างอิตาลี มีการตรวจ 11,429 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ซึ่งอิตาลีมีประชากร 60.5 ล้านคน ตรวจเจอ 18.65% ขณะที่เกาหลีใต้มีการตรวจ 9,999 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ตรวจเจอ 2.19% เมื่อเทียบเคียงกับไทย เราตรวจ 1,079 รายต่อประชากร 1 ล้านคน ตรวจเจอ 2.88% เรากับเกาหลีใต้ไม่ต่างกัน ถึงแม้ในห้องปฏิบัติการเราจะตรวจได้ 7 หมื่นกว่าคน แต่ก็ได้ผลใกล้เคียงกัน เหมือนกับที่ จ.ภูเก็ต ต้องขีดวงใกล้ๆ คนอื่นที่ไม่เสี่ยงก็ไม่ต้องตรวจให้เสียเงิน ประเทศจะได้ประหยัดและเหมาะสม ส่วนข้อสังเกตว่ารัฐบาลหลอกตัวเลขว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นไข้หวัดใหญ่หรือไม่นั้น ยืนยันว่าเราซ่อนตัวเลขไม่ได้ เพราะแพทย์ผู้ตรวจรู้ว่าคนไข้เป็นอะไร ถ้ารู้ว่าเป็นโควิด-19 ทุกคนกังวลหมด แพทย์ก็กลัว คนไข้ก็กลัว เพราะมีคนตายจึงปิดไม่มิด ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด แต่นี่เชื้อโรคตัวนิดหน่อย ปิดนิดหน่อยที่ไหนก็รู้ ยิ่งมีโซเชียลฯ ยิ่งปิดไม่ได้ คนที่ทำงานในห้องแล็บก็กลัว ถ้าเป็นแล้วมาปิดกันก็มีเคืองกัน มันไม่มีทางปิดซ่อนได้ เราได้รับนโยบายมาทุกระดับ ไม่เคยให้ซ่อน เพราะถ้าซ่อนผลเสียจะอยู่กับประชาชน ขอให้มั่นใจ ทั้งนี้ ปัจจุบันเราจะเพิ่มห้องปฏิบัติการจากเดิมวันที่ 7 เม.ย.มี 80 ห้อง วันที่ 8 เม.ย.จะเปิดให้ได้ 110 ห้องทั่วประเทศ ส่วนที่ในต่างประเทศมีการพัฒนาการตรวจ เช่น ไดรฟ์ทรู ซึ่งเอกชนบางแห่งทำแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขจะพัฒนาขึ้นมา
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า สำหรับผลการปฏิบัติงานช่วงประกาศเคอร์ฟิววันที่ 7 เม.ย.ต่อเนื่องวันที่ 8 เม.ย. พบว่าผู้ฝ่าฝืนประกาศเคอร์ฟิวลดน้อยลง เหลือ 1,156 ราย ถือว่ายังไม่น่าดีใจ ต้องลดลงให้เหลือหลักร้อยหรือหลักหน่วยให้ได้ โดยพบว่ามีการมั่วสุม ชุมนุม รวมกลุ่ม 72 ราย ตักเตือน 135 ราย ดำเนินคดี 949 ราย ส่วนในช่วงเทศสงกรานต์จะมีการคุมเข้มเรื่องการจำหน่ายสุรา หรือเมาไม่ขับหรือไม่นั้น เราอยู่ในช่วงโรคระบาด แค่นี้ก็สาหัสแล้ว ส่วนด้านอื่นๆ ขอให้ลดลง อยู่ที่แต่ละจังหวัดจะมีการประกาศในเรื่องของการห้ามจำหน่ายสุราหรือไม่อย่างไร แต่กระทรวงวัฒนธรรมได้รณรงค์ให้ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมสงกรานต์ปีนี้ไปก่อน แทนที่จะรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ก็ให้เว้นระยะห่างผู้ใหญ่ก่อน อีกทั้งวัฒนธรรมการดื่มไม่ใช่วัฒนธรรมของคนไทยแน่นอน
นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า ในวันที่ 8 เม.ย. เวลา 15.30 น.จะมีคนไทยเดินทางกลับจากญี่ปุ่นมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 32 คน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการไว้ทุกอย่างแล้ว เมื่อกลับมาต้องไปสถานที่ที่รัฐจัดให้เท่านั้น มีหลายคนไม่เคยนอนสองคน แต่เนื่องจากที่พักมีข้อจำกัด ท่านต้องอยู่ในข้อตกลงของเรา ไม่ใช่โรงแรมที่จะมาเลือกเตียงเดี่ยว เตียงคู่ เตียงคิงไซส์ ไม่ได้ เพราะเป้าหมายของเราคือการควบคุมโรคมากกว่าความสะดวกความสบาย จึงต้องแลกกัน