ศบค.แถลงผู้ป่วยโควิด-19 วันเดียวพุ่ง 111 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 เป็นชาวต่างชาติ พบคนไทยกลับจากอินโดนีเซีย ติดเชื้อเพิ่มอีก 42 ราย ทำสตูลหลุดจากจังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วย เตรียมขยายขอบเขตการสอบสวนโรค 4 กลุ่ม แจงศักยภาพห้องแล็บตรวจได้ 2 หมื่นตัวอย่าง ชี้ ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงตรวจไปก็สิ้นเปลือง รู้ผลแล้วไม่ป้องกันตัวก็มีโอกาสติดเชื้อ
วันนี้ (8 เม.ย.) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (ศบค.) แถลงข่าวสถานการณ์ประจำวัน ระบุว่า เมื่อวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้การแก้ไขปัญหาโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ
ผู้ป่วยสะสม 2,369 ราย หายป่วยแล้ว 888 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 111 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย สะสมรวม 30 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 28 เป็นชายชาวรัสเซีย อายุ 48 ปี มีประวัติไปจังหวัดภูเก็ต กลับมาที่พัทยา รายที่ 29 เป็นชาวอินเดีย อายุ 69 ปี มีประวัติโรคประจำตัวเบาหวาน โรคหัวใจ และรายที่ 30 เป็นชายชาวอเมริกัน อายุ 69 ปี มีโรคประจำตัวคือไตเรื้อรัง
ส่วนผู้ป่วยสะสมทั่วโลก 1.4 ล้านคน เสียชีวิต 8.1 หมื่นคน สหรัฐอเมริกาอันดับ 1 ประเทศไทยอันดับที่ 43
เมื่อเจาะไปยังผู้ติดเชื้อรายใหม่พบว่า คนไทยที่กลับจากประเทศอินโดนีเซีย ตรวจพบเชื้อโควิด-19 รวม 42 รายในกลุ่มก้อนเดียวกัน ส่วนผู้ป่วยที่ประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้มี 37 ราย อยู่ระหว่างสอบสวนโรค 21 ราย จากการค้นหาเชิงรุกในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งกลุ่มก้อนใหม่ที่จะเฝ้าระวัง คือ คนไทยที่จะกลับต่างประเทศ แต่กลุ่มเดิมที่อยู่ในบ้านต้องดูแลตัวเอง
ทั้งนี้ ผู้ป่วยทั่วประเทศมี 67 จังหวัด เพิ่มเติมที่สตูล เป็นผู้ที่กลับจากประเทศอินโดนีเซีย เหลือ 10 จังหวัดที่ยังไม่พบผู้ป่วย ขณะที่ผู้ป่วยรายใหม่ในกรุงเทพฯ 23 ราย จังหวัดชายแดนภาคใต้แซงนนทบุรี ต่างจังหวัดพุ่งขึ้นเกิดจากการกระจุกตัวทั้งการเดินทาง พิธีการทางศาสนา จึงให้ประชาชน Social Distancing ใส่หน้ากาก และแยกผู้ป่วยออกมาให้ได้
ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต ได้ใช้วิธีการตรวจแบบ Active Case Finding โดยกระทรวงสาธารณสุขและจังหวัดภูเก็ตค้นหาเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงทางระบาดวิทยา เช่น ย่านบางลา กะทู้ ประมาณ 2,000 กว่าคน
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายขอบเขตผู้ป่วยที่ต้องสอบสวนโรคหลายกรณี กรณีแรก มาจากด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เช่น สนามบิน, กรณีที่สอง เฝ้าระวังในสถานพยาบาล, กรณีที่สาม เฝ้าระวังบุคลากรทางการแพทย์ และกรณีที่สี่ เฝ้าระวังผู้ป่วยกลุ่มก้อน (Cluster) ซึ่งในบางกรณีรัฐจะออกค่าจ่ายให้ทั้งหมดเพื่อการควบคุมโรค
ขณะที่มาตรการห้ามออกนอกเคหสถาน พบว่าความผิดลดลงจากเมื่อวานนี้เล็กน้อย ทั้งออกนอกเคหสถานและรวมกลุ่มชุมนุมหรือทั่วสุมประมาณ 1,200 ราย ขอให้ลดลงและอย่าทำผิดกฎหมาย
ส่วนคนไทยที่ติดค้างในต่างประเทศ กรณีปิดน่านฟ้าถึงวันที่ 18 เม.ย. วันนี้จะมีเที่ยวบิน NH847 จากประเทศญี่ปุ่น มีผู้โดยสาร 32 คน จะถึงประเทศไทย 15.30 น. ทุกอย่างเตรียมการแล้ว แต่ทุกคนมีความเสี่ยง ต้องทำการ State Quarantine เท่านั้น ตอนนี้ที่พักมีข้อจำกัด จึงต้องอยู่ในข้อตกลง ไม่สามารถนอนคนเดียวได้
นพ.ทวีศิลป์ ยังตอบคำถามว่า การตรวจหาเชื้อน้อยไปหรือไม่ ชี้แจงว่า การตรวจเยอะๆ เพื่อให้ได้ผลดีก็ใช่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้ารู้ผลแล้วไม่ป้องกันตัวเองก็มีโอกาสติดเชื้อ อยู่ที่การเลือกตรวจ คนที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงตรวจไปก็สิ้นเปลือง ส่วนการซ่อนตัวเลขทำไม่ได้ เพราะโซเชียลมีเดียปิดไม่มิด ผลเสียก็จะเกิดกับประชาชน จึงใช้วิธีการเจาะ ขีดวง และค้นหาให้ได้มากที่สุด
จำนวนห้องปฏิบัติการตรวจ COVID-19 ในประเทศไทย ณ วันที่ 7 เม.ย. มีห้องปฏิบัติการ 80 แห่ง กำลังจะเปิดให้ได้ 110 แห่ง กระทรวงสาธารณสุขกำลังจะพัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการจากต่างประเทศ รวมทั้งมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ
ส่วนการเพิ่มศักยภาพในการตรวจเป็น 1 แสนตัวอย่างนั้น ชี้แจงว่ายังได้แค่ 2 หมื่นตัวอย่าง หากจะให้ตรวจเป็นแสนตัวอย่างต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก แม้ความช่วยเหลือด้านน้ำยาตรวจจากบริษัทเอกชนรายหนึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลงก็ตาม
ส่วนช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะห้ามจำหน่ายสุราหรือไม่ ชี้แจงว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงโรคระบาด ด้านอื่นๆ เช่น อุบัติเหตุ หรือเมาสุรา ขอให้ลดน้อยลง ส่วนการห้ามจำหน่ายสุราเป็นมาตรการย่อยของแต่ละจังหวัด อีกทั้งทางกระทรวงวัฒนธรรมประกาศแล้วว่าให้ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในปีนี้ ย้ำว่า วัฒนธรรมการดื่มไม่ใช่วัฒนธรรมของไทย