รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 ตอน หยุดเมา อยู่บ้านเพื่อชาติ หักใจเพิ่อเอาชนะโควิด-19
การแก้ปัญหาโรคระบาดไวรัสโควิด -19 เข้ามาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ จะเอาอยู่หรือแพ้ยับเยินก็ขึ้นอยู่กับห้วงเวลานับจากนี้
แต่เมื่อวัดจากผลงานที่ปรากฏออกมา นับว่าแนวทางเดินมาถูกทางแล้ว เพราะมีสถิติตัวเลขพบคนติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในระยะต่อไปนี้ ถ้าหากไม่เจอตัวเลขคนป่วยเพิ่ม ก็ต้องฟันธงไปได้ว่า การศึกไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มจะปิดฉากได้แน่ในเดือนเมษายน หรือเร็ววันนี้
ผลลัพธ์ที่ออกมาทั้งหมด หากดูหลังจากประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การทำงานของรัฐบาล นักการเมืองและข้าราชการทุกภาคส่วน ทำงานประสานกันได้ดี ดีทั้งรุกทั้งรับ
ด้านประชาชนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ การรักษาระห่างทางสังคมเป็นยาที่สามารถสกัดเชื้อไวรัสฯไม่ให้แพร่ระบาด ได้อยู่หมัด
จะมีพวกที่ไม่ให้ความร่วมมือร่วมใจ ก็แต่พวกดื้อด้านนอกคอก ที่ทำตัวเป็นกากเดนสังคม ฝ่าฝืนแม้กระทั่งกฎเคอร์ฟิว ออกมาเพ่นพ่านในเวลาเคอร์ฟิว ซึ่งมีการจับกุมได้919 รายในสามวันหลังใช้เคอร์ฟิว
การรักษาระยะห่างทางสังคม ทำได้เรียบร้อย แม้จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ้าง เช่นกรณีผู้เดินทางกลับไทยเมื่อวันที่3 เมษายน ป่วนสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะไม่ยอมเข้ากักตัวตามกฎหมายโรคติดต่อและพรก. ฉุกเฉิน
โดยอ้างไม่รู้ ว่าทางการไม่ได้บอกล่วงหน้า หนีกลับไปนอนบ้าน แต่นอนได้คืนเดียว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไปจัดการเชิญตัวมาได้ครบทุกคน ตอนนี้ก็ถูกส่งไปนอนในที่พักกักกันตัวของรัฐ ไปเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งคนเหล่านี้แทบจะยังไม่ได้ขยับไปแพร่เชื้อให้คนอื่น หลังจากนี้ถ้าหากพบมีคนติดเชื้อ อิมพอร์ตไวรัสมาจากต่างประเทศด้วย ก็กักตัวรักษากันไป
หากมองอีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์ม็อบป่วนสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้เห็นความเฉียบขาดเอาจริงของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่สั่งตามเอาตัวกลับมาให้ได้ ในทันทีหลังมีเหตุแหกด่าน
และ ยังช่วยทำให้มีการทบทวนการทำงานในภาครัฐที่ต้องประสานกันหลายฝ่ายได้เอาข้อบกพร่องครั้งนี้ไปถอดบทเรียน
ซึ่งทางด้าน พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง ของศบค. ก็ออกมายืดอก ยอมรับผิด และขอโทษกับสังคมไปแล้ว
จากนี้ไปในส่วนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ก็คงได้ขันน็อตกันให้มีความเด็ดขาด ในการบังคับใช้กฎหมายมากขึ้น จะปล่อยให้ใครเล็ดลอดออกจากการบังคับ ออกมาปล่อยเชื้อโรค ไม่ได้
ต่อไปหลังจากนี้ เป็นห้วงเวลาน่าระทึกใจ จะอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายว่า มาตรการของ “บิ๊กตู่” ในการสกัดไวรัสมรณะ “โควิด -19” จะเอาอยู่หรือไม่ จะเจอคนติดเชื้อสูงขึ้น หรือค่อยๆ ลดลง อยู่ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสัปดาห์นี้เป็นสำคัญ
เพราะในสัปดาห์นี้เอง จะครบช่วงเวลาสองสัปดาห์หรือ14วัน ที่แรงงานคนต่างจังหวัดอพยพออกจากกรุงเทพมหานครกลับบ้านเกิด เนื่องจากผลจากการปิดเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากมีคนป่วย ติดเชื้อไวรัส โควิด-19 จะแสดงอาการออกมาในช่วงสัปดาห์นี้
หากไม่มีผู้ติดเชื้อจากกลุ่มคนที่อพยพจากกทม. กับบ้านต่างจังหวัด ประเทศไทยก็เตรียมฟื้นไข้ออกจากวิกฤติไวรัสระบาดได้เลย เพราะของเก่าไม่มี ของใหม่ที่จะแพร่เชื้อเข้ามาก็มาไม่ได้ เพราะมีคำสั่งปิดประเทศ ห้ามคนเข้าทุกทางแล้ว
แต่ช่วงนี้ยังมีตัวแปรที่ต้องจับตา ก็คือการควบคุมสถานการณ์ที่คน6ล้านคนจะได้เงิน5,000บาทจากรัฐบาลเยียวยาให้ จะสามารถสกัดไม่ให้ออกมามั่วสุมกินเหล้าเมาสุรากัน ถ้าทำ สังคมจะสบายใจได้ ไม่ต้องกังวลกับการแพร่เชื้อรอบใหม่
รวมทั้ง ข้ามไปถึงช่วงสงกรานต์ จะทำอย่างไรไม่ให้คนมาสมาคมกันโดยไร้จิตสำนึกรับผิดชอบต่อสถานการณ์ ถ้าทำได้ เหตุปัจจัยที่จะทำให้เชื้อไวรัสปะทุขึ้นอีกก็ไม่น่าห่วงแล้ว
จำเป็นที่รัฐบาลต้องควบคุมสถานการณ์ในวันสงกรานต์ให้ได้ ซึ่งมีสองเรื่องที่ต้องควบคุมจริงจัง คือ ไม่ให้คนออกมาจับกลุ่มมั่วสุมกินเหล้า และการเล่นสาดน้ำอย่างปกติทุกปีก็ต้องให้งดเด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องการกินเหล้าต้องห้ามดื่ม ห้ามเมา
สงกรานต์ปีนี้ เป็นสงกรานต์ที่อยู่ในระหว่างสงครามสู้เชื้อไวรัสโควิด-19 คนไทยต้องพร้อมใจกัน “หยุดเมา อยู่บ้าน เพื่อชาติ” เพื่อเอาขนะไวรัสตัวร้าย