“หมอวรงค์” จวกม็อบสนามบิน “กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย” ท้าทาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และคำสั่งรัฐบาลให้กักตัว 14 วัน ด้าน “แก้วสรร” ชี้ เป็นความรับผิดชอบของคนไทยทุกคน ด่ายับ คิดแบบ “เสรีชนบ้าๆ บอๆ” ตายเสียได้ก็ดี
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (4 เม.ย. 63) Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม CEO พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์หัวข้อ “คนไทยทั้งประเทศต้องเดือดร้อน!!!”
โดยระบุว่า “ภาพคนไทยที่เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น ปฏิเสธการกักตัว 100 กว่าคน บางคนอ้างว่าไม่ได้บอกก่อน ยิ่งทำให้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นกฎหมาย ไม่ศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีผลบังคับใช้
ข้อมูลที่ได้รับ ทั้งสถานทูตและกงสุลในอเมริกา ก็เผยแพร่ข้อมูลเรื่องผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย ต้องถูกกักตัว 14 วัน ในพื้นที่ที่รัฐบาลกำหนด แต่เหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กลายเป็นกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย
สังคมไม่มั่นใจว่า ความเข้มงวดในการกักตัวที่บ้าน จะจริงจัง เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในระยะหลัง จะมาจากต่างประเทศ และชาวต่างชาติ รัฐบาลจึงออกมาตรการเข้มงวดกับผู้ที่มาจากต่างประเทศ ต้องกักตัวในสถานที่ที่กำหนด
ถ้าการกักตัวไม่จริงจัง คนดังกล่าวจะกลายเป็นผู้แพร่เชื้อให้ญาติ เหมือนเหตุการณ์สนามมวย การสังสรรค์ในผับ รวมทั้งผู้ร่วมกิจกรรมศาสนา โดยเฉพาะตามกระแสข่าวมีผู้เป็นไข้ 3 คน อาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวายหลุดรอดไป
ทางออกที่ดีที่สุด รัฐบาลควรต้องติดตามคนกลุ่มนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้กฎหมาย ระเบียบต่างๆ ที่ประกาศมีความศักดิ์สิทธิ์ และไปกักตัวตามระเบียบที่ประกาศ ถ้าไม่ดำเนินการและมีการแพร่ระบาดมากขึ้น คนไทยทั้งประเทศก็ต้องเจอมาตรการที่เข้มงวดขึ้น กลายเป็นว่าคนไทยทั้งประเทศต้องเดือดร้อน เพราะคนกลุ่มเดียว
หมายเหตุ : ได้ติดตามการเฝ้าระวังในระดับหมู่บ้าน พี่น้อง อสม.เข้มแข็ง เอาจริงเอาจังมาก ถ้าเป็นตามนี้แนวรบในระดับหมู่บ้านสู้ได้ เหลือแต่ในเมืองโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ถ้ายังเป็นแบบที่สนามบินสุวรรณภูมิ คงเหนื่อยทั้งประเทศอีกนาน
และโพสต์อีกหัวข้อ “ร่วมให้กำลังใจ”
โดยระบุว่า “หลังจากมีข่าวจากสนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารจากต่างประเทศ จำนวน 158 คน ไม่ยอมกักกันตัว เมื่อค่ำวันที่ 3 เมษายน
ล่าสุด รัฐบาลได้มีคำสั่งให้มารายตัวเพื่อกักกัน 14 วันภายใน 18.00 น. วันนี้ (4 เมษายน) ทราบว่า มี 152 คน ถ้าไม่มารายงานตัวถือว่า มีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนอีก 6 คน ให้ความร่วมมือกักกันตัวตั้งแต่เมื่อคืน
ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินต้องเด็ดขาด รวดเร็วแบบนี้ครับ เพราะถ้าดูตัวเลขผู้รับเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มทิศทางที่ดีขึ้น
ขอให้กำลังใจรัฐบาล และผู้โดยสาร 6 คน ที่ให้ความร่วมมือ และรับผิดชอบต่อสังคม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ กรณี นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “สิทธิเสรีภาพพื้นฐานในสถานการณ์ COVID” ผ่าน www.thaipost.net โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปุจฉา
อัตราตายของผู้ติดเชื้อในโรคซาร์ส เมื่อ 16 ปีก่อน มีถึง 10% ทำไมไม่เห็นโลกต้องวุ่นวาย อลหม่านปิดบ้านปิดเมือง กักตัวกันแบบ COVID-19 นี้เลย ทั้งๆ ที่โรคนี้อัตราตายแค่ 2% เท่านั้น
วิสัชนา
นั่นคุณพูดถึงความร้ายแรง แต่ถ้าพูดถึงความรุนแรงของการระบาดแล้ว COVID แรงกว่าซาร์ถึง 1,000 เท่า เพราะโรคนี้ติดเชื้อแล้วยังเดินไปมาได้ 14 วัน ถึงจะเห็นอาการ แต่ซาร์สนั้นติดแล้วทรุดแล้วตายเลย โอกาสแพร่เชื้อของผู้ติดเชื้อจึงมีน้อย ยิ่งไปกว่านั้นใน 100 คน ที่ป่วยด้วย COVID จะมี 10% เท่านั้นที่จะมีอาการป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล อีก 80% ที่เหลือจะมีอาการน้อยมากจนถึงไม่มีอาการเลยก็ได้ โอกาสแพร่เชื้อยิ่งสูงขึ้นไปอีก
เห็นอย่างนี้แล้ว การแปลงกายเชื้อไวรัสตระกูล COVID จากโรคซาร์สมาเป็น COVID-19 นี้ ถ้ามีผู้ออกแบบจ้องจะทำลายมนุษยชาติจริงแล้ว ก็ต้องนับว่าฉลาดมากๆ ที่สามารถสร้างเชื้อตัวใหม่ให้ลับๆ ล่อๆ ระบาดได้รุนแรงกว่าเดิมได้ถึงขนาดนี้
ยอดในบ้านเราทุกวันนี้ที่จะแตะ 2,000 คนแล้วนั้น นั่นเป็นยอด “ผู้ป่วย” ไม่ใช่ “ผู้ติดเชื้อ” นะครับ เหตุเพราะคุณหมอใน ศบค.เขาทำงานโรงพยาบาลเป็นหลัก เขาก็ต้องรายงานยอดคนป่วยที่ยืนยันโรคและรับรักษาแล้วเท่านั้นเป็นธรรมดา ส่วนในสังคมจะมีผู้ติดเชื้อเท่าใดนั้น เป็นเรื่องระบาดวิทยาที่เขาจะไม่พูด ซึ่งจนป่านนี้น่าจะติดเชื้อเป็นหมื่นแล้วก็ได้ ที่ถึงหมื่นก็เพราะว่าตามสถิตินั้น ผู้ติดเชื้อที่ออกอาการป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล จะมีแค่ 20% เท่านั้น นั่นเอง
ปุจฉา
โรคติดต่อมันเป็นเรื่องธรรมดาโลก ผ่านไปสักระยะมันก็หยุด ผู้คนจึงต้องรับผิดชอบดูแลตัวเองให้ดี รัฐก็ดูแลเตรียมโรงพยาบาลให้พร้อม ส่วนใครไม่ระวังจนติดเชื้อ ก็ตายไปเอง ผมไม่เห็นมันจะหนักหัวใคร ทำไมต้องมา กักตัวคนกลับจากต่างประเทศ หรือเอาผิดจะลงโทษคนที่จับกลุ่มเฮฮาปาร์ตี้บนชายหาด ออกไปซื้อเบียร์ตอนเที่ยงคืนด้วย
ผมเป็นเสรีชน! ….ผมขอยืนยัน..ไม่ยอมรับให้รัฐมามีบทบาทเป็นเหมือนพ่อแม่ของผมหรอก คุณหรือใครจะยอมเป็นลูกลุงตู่เขาสั่งอะไรก็ยอมกันหมด...นั่นก็เรื่องของคุณ พวกคุณจะเอาเสียงข้างมากมาลิดรอนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของผมไม่ได้ ผมให้รัฐคอยทำโรงพยาบาลให้ดีเท่านั้นก็พอแล้ว
วิสัชนา
เหตุผลของคุณอาจจะรับฟังได้ ถ้าเป็นแค่การระบาดของไข้หวัดใหญ่เท่านั้น ไข้หวัดใหญ่นั้นก็ถึงตายได้เหมือนกัน แต่ที่รัฐไม่ทำอะไรก็เพราะมันไม่ระบาดแบบทะลักทลายแบบนี้ คุณรู้ไหมว่าในการติดต่อ 1 รอบ ผู้ติดเชื้อ COVID 1 คน จะแพร่เชื้อได้ 2.6 คนทีเดียว ดังนั้น ถ้ายอดผู้ติดเชื้อเมืองไทยวันนี้มี 10,000 คน การติดต่อใน 1 รอบต่อไปจะทะลุรวมเป็นยอดสะสมถึง 36,000 คน เลยทีเดียว
ใน 36,000 คนนี้ มี 20% คือ 7,200 คน ต้องเข้าโรงพยาบาล ผมถามว่า ศักยภาพโรงพยาบาลของเราที่มีอยู่ รับได้ไหม ทราบว่าแค่เครื่องช่วยหายใจ ก็มี 2,000 เครื่องเท่านั้นมิใช่หรือ
จำนวนคนไข้ที่ทะลักล้นจนเกินขีดจำกัดของโรงพยาบาลนี้นี่เอง ที่ต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วง แบบอิตาลี สเปน หรือ นิวยอร์ก ซึ่งผู้ตายเหล่านี้ถ้าป่วยในยามที่โรงพยาบาลยังมีกำลังรับได้เช่นปกติแล้ว ส่วนใหญ่เขาก็จะไม่ต้องตายเช่นนี้
ยอดที่ตายเพราะป่วยจนล้นเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลมีอยู่นี้ ทางระบาดวิทยาเขาถือเป็น “Avoidable Death” คือ ความตายที่หลีกเลี่ยงได้ ถ้าทุกคนช่วยกันรับมือ โดยยอมทำตามมาตรการป้องกันโรคของส่วนรวม ที่รัฐกำหนดขึ้น
เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ความตายของ Avoidable Death จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ เกิดขึ้นเมื่อใดทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบในความเฮงซวยของตนด้วย ส่วนเสรีชนคนไหนจะคิดว่ากูตายก็เรื่องของกู ก็เชิญคิดไปตามสบาย
อันที่จริง..ตายเสียได้ก็ดี เสรีชนบ้าๆ บอๆ งี่เง่า เกะกะ กวนตีน แบบนี้
ดูเหมือน เหตุการณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ กรณีคนไทยกลุ่มหนึ่งประมาณ 100 กว่าคน ก่อม็อบฝ่าฝืนสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศยอมรับร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือ เคอร์ฟิว และแม้แต่การถูกกักตัว 14 วัน ของคนที่สัมผัสกับกลุ่มเสี่ยง หรือ ใกล้ชิดกับคนที่ติดเชื้อโควิด 19 เพื่อรับผิดชอบต่อสังคม กรณีไม่ไปแพร่เชื้อต่อเพราะเป็นโรคระบาด ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ต่างคาดไม่ถึงเช่นกัน
ประเด็นก็คือ มันเป็นการเคารพต่อกฎหมาย และรับผิดชอบต่อสังคมแค่นั้น ไม่ปฏิบัติตามก็ถือว่า
ทำผิดกฎหมาย และไม่รับผิดชอบต่อสังคม นั่นหมายถึง นอกจากจะถูกลงโทษตามกฎหมายแล้ว ยังถือเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างมากในทางสังคม และยังเป็นคนที่อาจฆ่าคนไทย โดยรู้ทั้งรู้อีกจำนวนมหาศาล ถ้าคุณติดเชื้อและอยู่ในขั้นแพร่เชื้อ นี่คือ สิ่งที่คนไทยทุกคนตื่นกลัวจากพวกคุณอยู่ในเวลานี้ และเป็นสิ่งที่ “หมอวรงค์” และ อ.แก้วสรร แสดงความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจ