xs
xsm
sm
md
lg

สู้แบบไม่อดตาย! “โบว์” ผุดเคมเปญ “เลิกล็อกดาวน์” ด้าน “หมอวรงค์” เสนอแรงอีก “ห้ามขายเหล้า” รัฐบาลกล้ามั้ย?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สวนทาง “ลุงตู่” ประกาศเคอร์ฟิว “โบว์” แนวร่วมฝ่ายค้าน ผุดเคมเปญ “เลิกล็อกดาวน์” สู้โควิด 19 แบบไม่อดตาย ขณะ “หมอวรงค์” เสนอแรงให้สุด ห้ามขายเหล้า ช่วงโควิด 19 ระบาด ป้องกันนักดื่มตั้งวงเสี่ยงแพร่เชื้อ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(2 เม.ย.63) เฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana ของ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ “โบว์” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง แนวร่วมพรรคฝ่ายค้าน โพสต์ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า

“ที่ทำฮึดฮัดใส่ประชาชนอยู่ตอนนี้ก็เพื่อจะโยนความผิดออกจากตัว ขอโทษนะ หลังแมทธิวติดเชื้อที่สนามมวย คนกทม.ตื่นตัวใส่หน้ากากระวังกันแทบจะ 100% แล้วค่ะ ตัวเลขที่เห็นๆอยู่นี่มันผลจากสนามมวยของกองทัพกับความผิดพลาดตอนสั่งปิดกทม.ที่ทำให้คนแห่กลับตจว.วันเดียวเป็นหมื่น และการปิดประเทศที่ช้ากว่าชาวโลกทั้งนั้น ..ไม่ต้องสร้างความกลัวเพิ่ม คนไทยดูแลตัวเองดีกว่าคนส่วนใหญ่ในโลกแล้ว วันนี้อัตราการแพร่เชื้อไม่ได้แย่ รองนายกฯ ก็ไม่เป็นไปตามมาตรา 6 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินเองแล้ว แต่ไม่มีใครเขาไปแย่งหรอก ปล่อยให้ชาวบ้านเห็นฝีมือ.”

นอกจากนี้ น.ส.ณัฏฐา ตั้งเคมเปญ รณรงค์ หยุดโควิดแบบไม่อดตาย ในเว็บไซต์ https://www.change.org/ โดยระบุเหตุผลว่า ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่มีเงินสำรองเหลือใช้สำหรับยามฉุกเฉิน การแก้ปัญหาโควิด19 ด้วยการ Lockdown หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อเนื่องหลังสงกรานต์ ไม่ใช่วิธีควบคุมโรคที่ดีที่สุดสำหรับเมืองไทย ทั้งยังจะทำให้เศรษฐกิจทั้งระดับครัวเรือนและระดับชาติต้องพังทลาย ยากที่คนไทยจะประคองครอบครัวให้รอดในระยะสั้น และยากที่ประเทศชาติจะฟื้นตัวในระยะยาว

มาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจที่ประกาศแล้วนั้น ไม่สามารถครอบคลุมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทุกคน หรือแม้แต่ครึ่งหนึ่ง และในหลายมาตรการ ผู้ปฏิบัติเช่นธนาคารพาณิชย์หลายแห่งก็ไม่มีความจริงใจในการช่วยเหลือ อันจะเห็นได้จากความยุ่งยากของขั้นตอนในการสมัครและพิจารณา และภาระหนักที่ยังคงเหลือหลังการผ่อนผัน

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่มีกำลังจะแบกรับภาระในการจ้างพนักงานไว้ โดยไม่มียอดขายหรือรายรับเข้าบริษัทห้างร้าน แม้ผู้ประกอบการหลายรายจะแสดงน้ำใจพยายามรักษาพนักงาน แต่ที่ปลายทางทั้งนายจ้างและลูกจ้างก็อาจไม่เพียงไม่เหลืออะไรเลย แต่ต้องติดลบจากหนี้สินที่ทับถมต่อเนื่องมานาน เราไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “สายป่าน” แต่เรายังมีกำลังกายและสติปัญญาที่จะพาตัวรอด หากไม่ถูกปิดกั้นโอกาสนั้น

พวกเราขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางอื่นๆในการควบคุมโรค ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลในหลายประเทศในเอเชีย โดยไม่ต้องหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เปิดโอกาสให้คนไทยได้ทำมาหากิน ด้วยมาตรการ Social Distancing ที่สมเหตุสมผล และอุปกรณ์ป้องกันตัวเพื่อความปลอดภัย

มีประเทศที่ทำสำเร็จเป็นตัวอย่างแล้ว ด้วยวิธีการที่ไม่มักง่าย และไม่ทำลายลมหายใจทางเศรษฐกิจของประชาชน

ขอเรียกร้องให้รัฐบาลศึกษา ทบทวน และปรับยุทธศาสตร์โดยด่วน เพื่อความอยู่รอดและคุณภาพชีวิตของเราทุกคน

ภาพจากแฟ้ม
ด้านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า

“ไหนๆจะใช้ยาแรง โดยปกติมีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วงเวลา 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น และพบว่า ตัวเลขนักดื่มตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปมีไม่น้อยกว่า 17 ล้านคน

ในเมื่อจะใช้ยาแรง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลกล้าไหมครับ ที่จะเพิ่มยาแรงอีกหนึ่งขนาน และน่าจะได้ผลสูงมาก คือห้ามขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงแพร่ระบาดนี้

เพราะสาเหตุของการรวมตัวกัน และมีความเสี่ยงต่อการระบาดในช่วงนี้ เหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นเหตุให้รวมตัวกันคือแอลกอฮอล์ เพราะช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน ตามซอกซอย ใกล้ร้านสะดวกซื้อ จะเห็นการรวมกลุ่มนั่งดื่มแอลกอฮอล์ และมีความเสี่ยงสูงมากของการแพร่ระบาด ที่สำคัญจะช่วยลดปัญหาช่วงสงกรานต์ด้วย

อยู่ที่รัฐบาลจะกล้าใช้ยาแรงตัวนี้ไหม
#หยุดแอลกอฮอล์หยุดรวมกลุ่มหยุดโควิด”

ดูเหมือน โพสต์ของ “โบว์” คงจะเป็นเรื่องยาก เพราะการที่รัฐบาลประกาศ “เคอร์ฟิว” หรือ ยกระดับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด 19 นั้น สะท้อนให้เห็นว่า การใช้ “ยาแรง” ยังมีความจำเป็น และคงได้ข้อสรุปอะไรบางอย่างแล้วว่า เดินมาถูกทาง ไม่อย่างนั้นคงถอยไปแล้ว

ส่วนการดูแลทุกข์สุขของประชาชน ไม่ให้อดตายนั้น ก็ถือว่าสำคัญ และรัฐบาลจะต้องหามาตรการรองรับให้เร็วที่สุดเช่นกัน นอกจากมาตรการที่ดำเนินการอยู่แล้ว

ที่น่าสนใจไปกว่านั้น สิ่งที่ต้องเลือกก็คือ คนไทยจะเสียสละยอมอดเพื่อรักษาชีวิต หรือยอมตายเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตตามปกติ ก็คงต้องเลือกเอา ซึ่งต้องดูคนส่วนใหญ่ว่าเห็นอย่างไรด้วย และดูเหมือนรัฐบาลจะเลือกให้แล้ว

สำหรับโพสต์ของ “หมอวรงค์” นี่คือ การเกาถูกที่คันของคนไทยก็ว่าได้ เพราะโอกาสเสี่ยงแพร่เชื้อที่เหลืออยู่จริงๆ ก็คือ การห้ามใจตัวเองไม่ให้คบหาเพื่อนฝูงนั่นเอง และการคบหาเพื่อนฝูง ก็ต้องดื่มเหล้าตามธรรมเนียม ยิ่งรักกันมากก็ยิ่งต้องดื่มแก้วเดียวกัน ตามประสา “เสี่ยว” ถ้าเป็นคนอีสาน โดยเฉพาะวัยรุ่น วัยแรงงาน เรื่องดื่มเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เชื่อลองทำสำรวจดู ยิ่งเทศกาลสงกรานต์ ต่อให้เลื่อนออกไป แต่การสังสรรค์สำหรับคนไทยคงไม่มีทางเลื่อน นอกจากถูกบังคับ

คำถามคือ รัฐบาลกล้ามั้ย อย่างที่ “หมอวรงค์” ถาม แต่ถ้าเอาไม่อยู่จริงๆ เชื่อเถอะ..ไม่กล้าก็ต้องกล้า ถ้าไม่อยาก “เอวัง” ทุกคนต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวมให้ได้นั่นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น