นายกฯ แถลงประกาศเคอร์ฟิวทั่วไทย 22.00-04.00 น. เว้นมีเหตุจำเป็นผู้ปฏิบัติงาน ลั่นอุปกรณ์การแพทย์ห้ามขาดแคลน ขอเชื่อมั่นผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคนมีเตียง-ยารักษา อย่าตื่นตระหนก กักตุนสินค้า ปลุกสู้ไปด้วยกันประเทศไทยต้องชนะ
วันนี้ (2 เม.ย.) เวลา 18.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) ว่าในฐานะนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวย ศบค. ขอรายงานความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินของศูนย์ฯ ดังนี้ด้านการแพทย์และสาธารณสุข นับว่าสำคัญที่สุดต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน โดยเน้นมาตรการ “เว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing และรณรงค์ให้ทุกคน อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” รวมทั้งปฏิบัติตนตามคำแนะนำของหมอ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ต้องได้รับความเร่งด่วนในการสนับสนุนหน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ อย่างทันกาลและทั่วถึงโรงพยาบาล ในทุกพื้นที่ ตนถือว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ต้องมีระบบการกระจายที่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนไม่ได้ ซึ่งตนจะติดตามด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมหมอและพยาบาล ที่เปรียบเสมือน “นักรบที่อยู่แนวหน้า” คอยต่อสู้และสกัดกั้นข้าศึกที่มองไม่เห็น ด้วยความเสียสละและอดทน
“ผมในฐานะแม่ทัพ จะไม่ยอมให้กำลังหลักของเราต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลนไม่ได้อย่างเด็ดขาด และต้องมีขวัญ กำลังใจที่เข้มแข็งอยู่เสมอ เพื่อมีพลังเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ให้ได้ ขอยืนยันว่าเรามียาที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ และมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับสถานการณ์ที่อาจลุกลามได้ นอกจากนั้น เรายังมีความพร้อมในเรื่องเตียงสำหรับผู้ป่วย โดยสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิดทุกคนจะมีเตียงและยา ในการดูแลรักษาอาการป่วยตามมาตรฐานสากลทุกประการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้รัฐบาลถือว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ดังนั้นจะมี 3 กองทุน (กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ) มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ ด้านป้องกันและช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งการรักษาความมั่นคง เรายึดหลัก “สุขภาพนำเสรีภาพ” โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ จำกัดการเดินทาง-การเคลื่อนย้ายคน และจำกัดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ซึ่งมีบางจังหวัดได้ยกระดับมาตรการทางการปกครอง เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดร้านค้า และเวลาออกจากบ้าน (Curfew) เพิ่มเติมแล้ว ซึ่งจะต้องเอาจริงเอาจัง เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายเหมือนปกติบ้าง แต่เราทุกคนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม จึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้
“เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาด และลดการสัญจรของพี่น้องประชาชน ผมจะประกาศข้อกำหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือ “เคอร์ฟิว” ตั้งแต่เวลา 4 ทุ่ม ถึงตี 4 ทั่วราชอาณาจักร โดยเว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็น หรือผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็นเพื่ออุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เชื้อเพลิง รวมถึงการเดินทางของประชาชนเพื่อเข้าออกเวรทำงาน หรือการเดินทางมาจากหรือไปท่าอากาศยาน โดยให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้นๆ ทั้งนี้ จะเริ่มในวันศุกร์ที่ 3 เม.ย. 2563 เวลา 22 นาฬิกา ซึ่งต้องขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก และไม่ต้องกักตุนสินค้า อาหาร เพราะท่านยังสามารถออกมาซื้อหาข้าวของในช่วงกลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่องระยะห่างทางสังคมด้วย” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ด้านการควบคุมสินค้า ตนได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า โดยขอย้ำว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกักตุนหรือฉวยโอกาส หรือแสวงหาผลประโยชน์ ซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกัน ในยามนี้ ที่ผ่านมาหลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด สามารถจับกุมและเอาผิดผู้กระทำผิดไปแล้วหลายราย ซึ่งจะต้องรับโทษอย่างรุนแรง ทั้งนี้การกักตุนสินค้ามีอัตราโทษสูง จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. 1135 สำหรับด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น อาทิ เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าและการใช้น้ำ รวมทั้งลดค่าน้ำ-ค่าไฟ 3 เดือน สำหรับทุกครัวเรือน ส่วนผู้ประกอบการและ SME รัฐบาลก็จะช่วยคืนสภาพคล่อง - ลดภาระค่าใช้จ่าย - บริหารหนี้เดิมไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการด้านภาษีและการเงิน อีกหลายมาตรการ เพื่อทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย มั่นใจได้ว่าเราไม่ทิ้งกัน”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ด้านการต่างประเทศมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เติมเข้ามาอีก ขอยืนยันชาวต่างประเทศไม่ได้เดินทางเข้ามาแล้ว ตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไป เว้นแต่เป็นผู้ที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด สำหรับคนไทยในต่างแดนเราก็จะไม่ทอดทิ้งลูกหลานและญาติพี่น้องของเราเหล่านั้นจะหาทางแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลกจะได้รับการดูแล หากต้องการกลับเมืองไทยก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง การกักตัวและการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น สิ่งสำคัญอีกประการ คือ ด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤต เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ และผู้ปฏิบัติงานมีความชัดเจน ไม่สับสนหรือสร้างความขัดแย้ง ศบค.จัดให้มีระบบการสื่อสารที่เป็นเอกภาพไปในทิศทางเดียวกัน หรือ Single Voice โดยจะมีการแถลงข่าวที่ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ในทุกช่องทางโดยโฆษกศูนย์ และผู้รับผิดชอบโดยตรงเท่านั้น งดเว้นและหลีกเลี่ยง การให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมาย หรือเกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ของศูนย์
“ผมขอให้สื่อมวลชนทุกสำนัก รวมถึงสื่อโซเชียลใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร โดยขอให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์นี้ เท่านั้น ห้ามการสื่อสารที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด หรือบิดเบือนข้อมูล รวมถึงผู้ที่สร้างข่าวปลอม หรือ Fake News และการส่งต่อข่าวปลอม ทั้งที่ไม่เจตนา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่มีผลต่อความมั่นคง ก็จะมีโทษตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างหนัก ดังนั้น เราจะต้องงดการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หรือไม่มั่นใจ เราควรส่งต่อข้อมูลที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ท่ามกลางวิกฤตนี้ผมและรัฐบาล ได้ระดมผู้มีความสามารถ คนเก่งจิตอาสา จากวงการต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี การสื่อสาร และภาคธุรกิจอื่นๆ มาร่วมหารือ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา อย่างรอบด้าน ผมขอขอบคุณจิตอาสาทุกท่านที่ไม่นิ่งดูดาย รวมพลังความรัก ความสามัคคี ร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งการร่วมบริจาคเงิน สิ่งของ อาหาร และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หลายคนเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น การเขียนข้อความ ทำคลิป หรือทำป้ายให้กำลังใจกันและกัน น้ำใจไทยเป็นสิ่งสำคัญจะช่วยให้ประเทศไทยของเรา รอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า จากผลการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ อย่างเคร่งครัด ทำให้สถานการณ์ขณะนี้อยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ คือ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน เฉลี่ยแล้วอยู่ในอัตราไม่ถึง 20% ไม่สูงถึง 33% ที่เป็นระดับของประเทศมีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั้งนี้ เป้าหมายร่วมกันของเรา คือ การขจัดโรคภัยและเชื้อร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุดและทุกคนปลอดภัย ดังนั้น เราจะต้องไม่ประมาท เราจะต้องไม่ปล่อยให้มีผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ และทำให้ตัวเลขลดลงจนเป็นศูนย์ให้ได้ เราจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างไม่ลดละ ต้องบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง หากจำเป็นก็จะต้องยกระดับในบางพื้นที่ตามเหตุผลทางการแพทย์
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ขอย้ำว่าขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือปฏิบัติตนตามมาตรการแยกตัวอยู่บ้าน เพื่อลดภาระของทีมแพทย์และพยาบาลที่เสียสละต่อสู้กันมานานหลายเดือน หากแนวหน้าเข้มแข็งและแนวหลังเข้มงวด ประเทศไทยก็จะชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ขอแสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน และทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านทั่วประเทศ ที่อดทน เสียสละ ทุ่มเทแรงกาย-แรงใจในการดูแล ช่วยเหลือประชาชนด้วยความเสี่ยงภัยและความยากลำบาก ขอให้ท่านรับรู้ว่าทุกท่านไม่ว่าเจ้าหน้าที่ พลเรือน ตำรวจ และทหาร เป็นบุคคลสำคัญในใจตนและคนไทยทุกคน และขอให้ทุกคนมั่นใจว่าตนจะทำทุกทางเพื่อที่จะนำพาประเทศของเราก้าวข้ามเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปให้ได้อย่างมีสวัสดิภาพ อย่างพร้อมเพรียงกัน ขอให้พวกเราสู้ไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องชนะ