โฆษกศูนย์ฯ โควิด-19 เผย นายกรัฐมนตรี สั่งล่าตัว 152 คนไทยแหกกฎกักตัวขีดเส้นรายงานตัวภายใน 6 โมงเย็นนี้ ฝ่าฝืนลงโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เตือนคนในครอบครัวกลุ่มเสี่ยง กักตัวเคร่งครัด
วันนี้ (4 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า นายกฯขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการเคอร์ฟิวซึ่งผ่านไปอย่างดีในระดับหนึ่ง นอกจากนั้น นายกฯห่วงคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศที่สุวรรณภูมิ ซึ่งมีเหตุขัดข้องมีปัญหาไม่เข้าใจกัน นายกฯ จึงได้สั่งการว่า ไม่ควรให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม การประชุม ศบค.ซึ่งนายกฯมอบหมายให้เลขาฯ สมช.เป็นประธานการประชุม โดยเมื่อเวลา 09.00 น.ของวันเดียวกันนี้ ได้มีการรายงานสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศ พบว่า มีผู้ป่วยหายกลับบ้านแล้ว 612 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ส่วนผู้ป่วยรายใหม่ 89 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 2,067 ราย และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 ราย รวมเป็น 20 ราย โดยเป็นชายไทย อายุ 72 ปี มีโรคประจำตัวหลายอย่างทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐแห่ง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่อาการไม่ดีขึ้น จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนที่น่าเป็นห่วงการเสียชีวิตที่ประเทศอิตาลีและประเทศสเปน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นหลักหมื่น สิ่งที่ต้องเตือนใจเมื่อถึงเวลาระบาด ของ 2 ประเทศมีการสื่อสารว่าผู้ที่ติดเชื้อนั้นใครจะอยู่ ใครจะไป ใครต้องเสียสละระหว่างผู้สูงอายุกับคนที่หนุ่มกว่า เราไม่อยากให้เกิดภาพแบบนี้กับคนไทย ดังนั้น ในฐานะที่เป็นแพทย์ก็ไม่อยากตัดสินใจว่าใครควรอยู่หรือใครควรไป ประชาชนยังมีส่วนช่วย เพราะเรายังไม่ไปถึงสถานการณ์อย่างนั้น และต้องไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัดเสี่ยงพอๆ กัน หวังว่า การประกาศเคอร์ฟิวจะมีส่วนทำให้ตัวเลขติดเชื้อลดน้อยลง แม้ผู้ติดเชื้อจะลดลงตัวเลขอยู่ที่เพียงสองหลัก แต่ยังไม่น่าพึ่งพอใจ ขอความร่วมมือประชาชนอยู่ในจังหวัดร่วมมือกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ในการประชุม ศบค.เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข รายงานตัวเลข 158 คนไทย เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ เมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งต้องรับทราบอยู่แล้วว่าต้องถูกกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดไว้ แต่เมื่อเดินทางมาถึงมีความไม่เข้าใจและมีการต่อรอง ไม่ขออยู่ ไม่ร่วมมือ อ้างเหตุผลว่า ไม่ได้ทราบมาก่อน จะขอกลับไปอยู่บ้านพักตัวเองก่อน มีเพียง 6 ราย ยินยอมกักตัวอยู่ในพื้นที่รัฐจัดไว้ ในโรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม. ทั้งนี้ คำสั่งจากที่ประชุม ศบค.ระบุว่า ต้องกักตัวในพื้นที่ของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ เรียกอีก 152 คนกับมารายงานตัวทั้งหมดที่กรุงเทพฯ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือถ้ามีการสัมผัสตัวญาติให้มารายงานตัวทั้งครอบครัว จะได้มีการบันทึกสอบสวนโรค หรือโทรศัพท์สอบถามที่เบอร์ 02-132-9950 และเบอร์ 063-234-4734 ส่วนคนที่เดินทางไปต่างจังหวัดให้ติดต่อที่ศูนย์ดำรงธรรมภายในจังหวัดภายในเวลา 18.00 น.วันเดียวกันนี้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า โดยคนในครอบครัวที่ใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยงขอให้กักตัวอยู่บ้านอย่างเคร่งครัด เราไม่อยากให้สุญเสียมากกว่านี้ แม้ท่านบอกว่าท่านแข็งแรงดี ส่วนกรณีคนไทยบางส่วนติดค้างในสนามบินต่างประเทศยังบินเข้าไทยไม่ได้ เนื่องจากทางสำนักงานการบินพลเรือน มีประกาศห้ามอากาศยานทำการบินเข้าประเทศไทยชั่วคราวในวันที่ 4-6 เม.ย.นั้น ผู้ที่ติดค้างสามารถติดต่อไปยังสถานทูตประเทศนั้นๆ เพื่อรายงานตัวและขอความช่วยเหลือ ตอนนี้ขอเวลา 3 วันไม่ให้มีการนำเข้าอากาศยานมาที่ประเทศไทย เพื่อเตรียมมาตรการรองรับให้เป็นอย่างดี
เมื่อถามว่า กรณีที่จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากต่างประเทศมีข้อมูลตัวเลขและมีกลุ่มใดบ้าง นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จะมีกลุ่มคนที่เข้ามาซึ่งมีการขออนุญาตไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว อาทิ กลุ่มที่ไปร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 100 กว่าคน จากประเทศมาเลเซีย อีก 83 คน กลุ่มนักเรียนจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ American Field Service” ที่มีกลุ่มนักเรียนไปเรียนยังต่างประเทศจะเข้ามาอีกหลักร้อยคน โดยทุกคนจะต้องเข้าสู่กระบวนการตามข้อกำหนดและต้องยินยอมโดยจะต้องเซ็นหนังสือให้ยินยอมเพื่อให้อยู่ใน state quarantine หรือพื้นที่ที่ทางรัฐจัดให้นาน 14 วัน
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการสื่อสารและโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ว่านายกรัฐมนตรีสั่งด่วนใช้กำลังทหารและตำรวจติดตามตัว ผู้ที่หลบหนีอยู่นั้นมีข้อเท็จจริงอย่างไร นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ถ้าจะตีความและพาดหัวข่าวในลักษณะดังกล่าวก็มีส่วนถูกต้องแต่ไม่ได้ทั้งหมด ยอมรับว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการจริง โดยเช้าวันเดียวกันนี้ในการประชุมเร่งด่วนมีทั้งฝ่ายทหารตำรวจพลเรือนมาประชุมเร่งด่วนเพื่อสร้างมาตรการดังกล่าวเพื่อให้เกิดความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐเข้มแข็งและเอาจริง จะไม่ยอมให้มีการประเมินกฎระเบียบที่มีอยู่ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ถูกสั่งการ โดยเช้าวันเดียวกันนี้ เลขา สมช.เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามให้ได้ทุกคนและถ้าไม่มาถือว่ามีความผิด
“เราไม่อยากจะลงโทษกับพวกท่านเราเป็นห่วงเป็นใหญ่ทุกคนต่างหากถึงได้ตามทุกคนมาเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานด้านความมั่นคงร่วมมือผนึกกำลังกันทำงานและทุกคนไม่ได้ทำ เพื่อตัวเองแต่ยังทำทุกอย่างเพื่อประเทศเพราะตัวเลขทั้งหลายที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากกลุ่มคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
ด้าน พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ภาพรวมการประกาศเคอร์ฟิววันแรกเมื่อคืนวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา มียานพาหนะผ่านจุดตรวจทั่วประเทศ 7,598 คัน จำนวนคน 16,010 คน ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค สินค้าเกษตร บุคลากรทางการแพทย์ที่เข้าเวร รวมถึงพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมที่ทำงานเป็นกะ โดยพบผู้ฝ่าฝืนโดยไม่มีเหตุผล เป็นยานพาหนะ 144 คัน จำนวน 177 คน เป็นกลุ่มชุมชุมหรือมั่วสุม 3 คัน จำนวน 8 คน และที่ได้ว่ากล่าวตักเตือนจำนวน 94 คน และดำเนินคดี 42 คดี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มั่วสุม แข่งรถ หรือไปงานเลี้ยงโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ถือว่าขัดประกาศเคอร์ฟิว และบางคดีมีความเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเมาสุรา