ดร.สามารถ เสนอยาแรง “ล็อกดาวน์ประเทศไทย” 14 วัน แก้ “ทำตามใจคือไทยแท้” ขณะ “พิภพ ธงไชย” เล่าคุกสุดสยองเสี่ยง “โควิด 19” ด้าน ดร.เสรี ชี้เปรี้ยง สงกรานต์อันตราย ติดทั้งบนรถและที่บ้าน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(31 มี.ค.63) เฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte ของดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์หัวข้อ “ถึงเวลาต้องใช้ “ยาแรง””
โดยระบุว่า “ผมได้ติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องทุกวัน พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันยังสูงหรือยังน่าเป็นห่วงอยู่ กล่าวคือยังหาจุดที่เส้นกราฟจะลดลงไม่พบ แม้ว่ารัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้ทุกคนใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่า ยังมีคนบางส่วนไม่ให้ความร่วมมือ พยายามหาช่องโหว่ของมาตรการดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ดังที่ได้รับทราบกันอยู่ ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า มาตรการการขอความร่วมมือจะใช้ไม่ได้ผลกับคนไทยบางส่วน สอดคล้องกับสำนวนไทยที่กล่าวว่า “ทำได้ตามใจคือไทยแท้”
ด้วยเหตุนี้ จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องใช้ “ยาแรง” ผมขอเสนอให้รัฐบาลประกาศใช้มาตรการ “ล็อกดาวน์ประเทศไทย” เป็นระยะเวลา 14 วันในระยะแรก ในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลจะต้องประเมินผลกระทบของการใช้มาตรการล็อกดาวน์ แล้วปรับแก้ตามความเหมาะสม ซึ่งอาจจำเป็นต้องขยายเวลาการ “ล็อกดาวน์” ออกไปก็ได้
หลักการใหญ่ๆ ของมาตรการ “ล็อกดาวน์” นั้น รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ดำเนินการ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยให้ท้องถิ่นรับไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ซึ่งจะเห็นได้ว่า บางจังหวัดหรือบางพื้นที่ก็ได้ดำเนินการอยู่แล้ว มากบ้างน้อยบ้าง ทั้งนี้ หลักการใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ เช่น
1. ประกาศห้ามประชาชนทั้งประเทศออกนอกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง และห้ามเคลื่อนย้ายข้ามเขตจังหวัดอำเภอและประเทศด้วย หรือกล่าวได้ว่า “คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า”
2. สำหรับร้านค้าโดยเฉพาะร้านอาหาร ร้านขายยา เครื่องอุปโภคบริโภคให้เปิดเป็นห้วงเวลาตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ แต่ต้องประกาศให้ประชาชนในพื้นที่นั้นทราบเวลาเปิด-ปิดโดยทั่วกันอย่างชัดเจน
3. หากประชาชนมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องออกจากบ้าน จะต้องได้รับอนุญาตเป็นการเฉพาะ
4. ในกรณีที่ประชาชนไม่ปฏิบัติตามให้ลงโทษทันที และประกาศให้สังคมทราบโดยทั่วกัน
5. เพื่อที่จะช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดร้ายแรงนี้ ผมขอเสนอให้รัฐบาลปรับโยกงบประมาณปี 2563 ที่กำลังใช้กันอยู่ และปรับงบประมาณปี 2564 ที่กำลังดำเนินการอยู่มาช่วยเหลือประชาชนให้มีกินมีใช้อย่างเพียงพอตามความเหมาะสม รวมทั้งดูแลบริษัทห้างร้านให้สามารถอยู่ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยอาจให้เงินช่วยเหลือบริษัทห้างร้านฟรี แต่มีเงื่อนไข เช่น ไม่ปลดพนักงานออก เป็นต้น หรืออาจให้บริษัทห้างร้านกู้เงินดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น
หากทำได้เช่นนี้ ผมมั่นใจว่า เราจะสามารถช่วยกันลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลงได้อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า เราช่วยกันดึงเส้นกราฟให้ลดลงได้ ถึงวันนั้นเราจะได้เปล่งเสียง “ไชโย” พร้อมกันทั่วประเทศ”
วันเดียวกัน นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) โพสต์หัวข้อ “คนคุกกับโรคโควิด-19 จากนักโทษ 383,471 คน”
โดยระบุว่า “ผมตื่นมาตอนตีห้าครึ่ง ใจนึกไปถึงนักโทษในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่มีนักโทษร่วม 2,400 คนใน 8 แดน ที่ผมเคยกินนอนอยู่กับเขา ในเรือนจำแต่ละแดน นอนกันอย่างแออัด เราขึ้นเรือนนอนตั้งแต่ 15.30 ถึง 06.00 น. ที่รัฐบาลกำหนด “ระยะห่างทางสังคม - social distancing” นั้นทำไม่ได้แน่นอน เพราะเราต้องนอนเบียดกันในที่อันคับแคบของแต่ละห้องขังในเรือนนอน 10 ห้อง ที่ยัดนักโทษเข้าไปแต่ละห้องร่วม 30 คน
ถ้าใช้มาตรฐาน social distancing ให้มีระยะห่าง 2 เมตร ห้องขังแต่ละห้องจะต้องระบายนักโทษออกไปร่วม 20 คน แล้วจะหาห้องไปขังนักโทษเหล่านี้ได้ที่ไหน
ในเรือนจำ มีการคัดกรองนักโทษผู้ป่วยแค่ 2 ประเภทเท่านั้นคือผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค ไปไว้ในห้องกระจกที่ “เรือนพยาบาล” อย่างแออัด ให้หายใจใส่เชื้อวัณโรครดแก่กันและกัน ใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกภาพห้องกระจกในสนามบิน ที่จัดให้สิงห์อมควัน พ่นควันบุหรี่ จนบางครั้งกลุ่มควันหนาทึบจนเกือบมองไม่เห็นตัวผู้สูบบุหรี่ในห้องนั้น
และคัดกรองกับคนป่วยทั่วไปอีก 1 ห้องหนึ่ง ก็แออัด เตียงนอนชิดกัน แออัดจนผู้ป่วยหลายคนต้องไปนอนใต้เตียงพยาบาล ผมไปนอนที่ห้องนี้ช่วง 15 วันสุดท้ายก่อนได้รับการอภัยโทษ จึงพบเห็นสิ่งเหล่านี้ และยังมีการคัดกรองทางคดีของนักโทษที่เข้ามาเติมทุกวันจากศาล วันละไม่น้อยกว่า 20 คน ก็ไม่มีการคัดกรองที่ดีพอที่จะกันนักโทษที่มี “ไวรัสโคโรนา” ติดตัวมา ทั้งที่แสดงอาการและที่ยังซ่อนตัวอยู่ นั้นทำไม่ได้แน่ ถึงทำได้ จะนำนักโทษถ่ายเทไปไว้ห้องไหนในเรือนจำ
เพราะรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ก็เคยพูดว่า จำนวนนักโทษที่เหมาะสมควรเหลือไม่เกิน 150,000 ราย นั้นเป็นจำนวนในเวลาปกติ แล้วในเวลาไม่ปกติ ในยุคที่มีการระบาดไวรัส COVID - 19 นักโทษร่วม 400,000 คน ถ้าเกิดมีเชื้อไวรัสตัวนี้กันทุกคน สถิติประเทศไทยจะพุ่งพรวดนำหน้าสถิติทุกประเทศอย่างแน่นอน ในจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID - 19
และถ้านักโทษที่ติดไวรัสตัวนี้ออกมาจากเรือนจำ มาอยู่ในสังคมทั่วไป เราจะติดตามกันอย่างไร ช่วงต้นปี 2563 มีนักโทษถูกปล่อยตัวออกมา 64,514 คน แม้แต่คนในสนามมวยลุมพินีหลักร้อย ยังสามารถแพร่ไวรัสไปได้ทั่วประเทศ และยังตามหากันไม่ครบด้วย
นี่คือปัญหาสังคมไทยที่จะต้องเผชิญแน่ๆในระยะอันใกล้นี้ และปัญหานี้ ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะนักโทษในเรือนจำประเทศไทยเท่านั้น แต่จะเป็นปัญหาของนักโทษในเรือนจำทั่วโลก ซึ่งของไทยเราติดอยู่ในอันดับ 6 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุข กองระบาดวิทยา และรัฐบาลไทย เตรียมรับมือกันหรือยัง นี่พูดในฐานะของคนที่เคยติดคุก “คดีการเมือง” มา 3 เดือน ตั้งแต่ 13 กุมภาพันธ์ ถึง 10 พฤษภาคม 2562
เขียนมาด้วยความห่วงใยเพื่อนๆนักโทษในเรือนจำ และห่วงใยสังคมไทยที่จะต้องเผชิญหน้ากับไวรัส COVID - 19 อย่างนึกไม่ถึง”
นอกจากนี้ ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ยังโพสต์ข้อความที่น่าสนใจไม่แพ้กันว่า
“จะถึงสงกรานต์แล้ว ประกาศห้ามเดินทางข้ามจังหวัดเถอะคะ ไม่เช่นนั้นติดกันบนรถทัวร์ รถไฟ และบ้านที่ต่างจังหวัดเพิ่มแน่ๆ อย่ารีรอเลยนะคะ.”
แน่นอน, ทุกโพสต์ดังกล่าวมีเหตุผลทางสังคมซ่อนอยู่ และเชื่อว่าทุกคนเข้าใจ แต่ถามว่า จะเป็นปัญหาหรือไม่ ถ้าหากปล่อยเอาไว้ ก็เชื่อว่าหลายคนเห็นปัญหาและเข้าใจปัญหา แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมด เพราะยังมีคนบางส่วนที่ไม่สนใจปัญหา นี่คือ ปัญหา ที่จำเป็นจะต้องมีมาตรการบังคับด้วยกฎหมายอย่างเคร่งครัด หรือ “ล็อกดาวน์ประเทศไทย” หาไม่แล้ว รับรอง “โควิด 19” ได้เฮแน่ หรือว่าไม่จริง???