ข่าวปนคน คนปนข่าว
** กว่าจะถึงวันนี้ของ “นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” จากเด็กโคราช ปากกัดตีนถีบ สู่จิตแพทย์มาเป็นโฆษก ศบค. สู้ภัยโควิด-19
“นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากในโลกออนไลน์ ทั้งเรื่องความรู้ ความสามารถอธิบายเรื่องต่างๆ ได้ดี ประกอบกับหน้าตาดี ส่งผลให้การทำหน้าที่โฆษกฯ ในห้วงเวลาที่ยากลำบากจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ผ่อนหนักเป็นเบา ลดความตึงเครียดลงไปได้ระดับหนึ่ง
นี่เองที่ทำให้หลายคนอยากรู้จัก นพ.ทวีศิลป์ มากขึ้นว่าเป็นใครมาจากไหน ก็ต้องบอกว่าประวัติของคุณหมอโฆษก ศบค.นั้นน่าสนใจยิ่ง
“นพ.ทวีศิลป์” เป็นชาวโคราช พ่อ-แม่เปิดร้านโชวห่วยในตลาดเทศบาลนครราชสีมา มีพี่น้อง 5 คน โดย นพ.ทวีศิลป์ เป็นบุตรคนที่ 2 สมัยเป็นเด็กกลับจากเรียนหนังสือก็ต้องมาค้าขายช่วยพ่อแม่ พอมีพอใช้ แต่ชีวิตก็ผกผันเป็นยากลำบากหลังจากพ่อประสบอุบัติเหตุต้องตัดขาข้างหนึ่งทิ้ง จากนั้นทุกอย่างก็ต้องเริ่มต้นใหม่ จากเคยมีชีวิตที่ค่อนข้างสบาย นับตั้งแต่นั้นพี่ๆ น้องๆ ของครอบครัวนี้ก็ต้องมาเลี้ยงหมู กรอกน้ำกรดใสแบตเตอรี่ ทำขนมผิง พับถุงขาย และ อื่นๆ อีกสารพัด เพื่อช่วยเหลือครอบครัว...
ช่วงที่ลำบากมากๆ ของชีวิต นพ.ทวีศิลป์ ตอนนั้นเคยแม้กระทั่งไปขอน้ำข้าวตามบ้าน แต่ละหลังแถวๆ นั้นมาเลี้ยงหมู ข้าวแทบจะไม่มีกรอกหม้อ
“นพ.ทวีศิลป์” เริ่มต้นเรียนที่โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา จากนั้นก็ย้ายมาที่โรงเรียนเมืองนครราชสีมา ต่อมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนบุญวัฒนา โดยยอมรับว่าไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง ชอบด้านศิลปะมาก เคยประกวดได้เงินรางวัลมาแล้ว แต่ที่เรียนแพทย์ส่วนหนึ่งก็ตามความตั้งใจของพ่อกับแม่ที่เชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงความทุกข์ยากของครอบครัวได้
กระทั่งสามารถสอบโควตาเข้า “แพทย์ชนบทมหาวิทยาลัยขอนแก่น” ได้ กระทั่งจนจบ แต่จบมาก็ไม่ได้วางแผนชีวิตอะไร คิดว่าคุ้นเคยกับอีสาน เป็นเด็กอีสานก็คงอยู่ที่อีสาน ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นจิตแพทย์เลย แต่ชีวิตก็ลิขิตให้ต้องทำงานหมอเฉพาะทางอยู่โรงพยาบาลทางจิต โดยเริ่มต้นที่โรงพยาบาลจิตเวช นครราชสีมา
ต่อมาได้เข้าเรียนที่ “โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา” (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา) โดยเรียนทุกด้าน ทั้งด้านสมอง สุขภาพจิต โรคจิต
เส้นทางชีวิตความเป็นจิตแพทย์ที่โคราช ทำให้ได้พบกับ “วิไลรัตน์ วิษณุโยธิน” ปัจจุบันเป็นกุมารแพทย์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แต่งงานและย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพฯ มีบุตรด้วยกัน 2 คน
ช่วงที่อยู่ที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา นพ.ทวีศิลป์ เริ่มทำหน้าที่ตอบคำถามเรื่องจิตเวช ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้คุณหมอเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
ปี 2546-2547 ชีวิตรับราชการก็เปลี่ยนแปลง เมื่อมีผู้ใหญ่บอกให้มาอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ตอนนั้น นพ.ทวีศิลป์เป็นนายแพทย์ 8 เริ่มจากการเป็นโฆษกกรมสุขภาพจิต แล้วขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักสุขภาพจิตและสังคม พร้อมดำรงตำแหน่ง “โฆษกกระทรวงสาธารณสุข”
และเมื่อวิกฤตโควิด-19 ยกระดับมาถึงการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นพ.ทวีศิลป์ ก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ “โฆษกศบค.” ในที่สุด
** นิมิตหมายดี “คุณหญิงหน่อย” บิ๊กเพื่อไทย “กรณ์” บิ๊กพรรคกล้า และ “ตู่ จตุพร” บิ๊กเสื้อแดง หันหน้าเข้าหา “ลุงตู่” เสนอสู้โควิด-19 อย่างสร้างสรรค์ ดีดปากพวกเอาแต่ด่า “รัฐประหารเงียบ”
ในยามบ้านเมืองวิกฤตหนักจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ ถ้าแต่ละฝ่ายมัวจ้องแต่จะจับผิด หาเรื่องกระทืบซ้ำฝ่ายตรงข้ามให้ถล่มจมธรณี เห็นทีประเทศชาติคงจะไปไม่รอดแน่ แต่ในวันนี้บ้านเมืองยังพอมีความหวังเมื่อฝ่ายตรงข้ามที่เคยโจมตีรัฐบาล “ลุงตู่” มาตลอด 5 ปี หลังจากการรัฐประหาร หันมาเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ขึ้นมาบ้าง...
อย่างในรายของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ๋ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่เคยออกมาโจมตีรัฐบาลไปแทบจะทุกเรื่องในช่วงที่เชื้อไวรัสเริ่มระบาด จนบางครั้งกระแสตีกลับ ตัวคุณหญิงโดนประชาชนก่นด่าเสียเอง ก็หันมาเสนอแนวทางสู้กับเชื้อไวรัสร้ายอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น โดยเมื่อวานนี้ (29 มี.ค. 63) “คณหญิงสุดารัตน์” โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว นอกจากให้กำลังใจหมอ-พยาบาล ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนแล้ว ยังมีข้อเสนอถึงนายกฯ ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สู้ COVID-19 ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เร่งดำเนินการ 5 เรื่อง ให้เร็วที่สุด… ซึ่งก็มี
1) เร่งจัดสรรงบกลางให้โรงพยาบาลให้มากพอที่จะจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ขาดทั้งหมด กระจายอำนาจการจัดซื้อให้โรงพยาบาลจัดซื้อเอง โดยแก้ระเบียบจัดซื้อและข้อบังคับต่างๆ ชั่วคราวในภาวะวิกฤต ซึ่งขณะนี้รัฐบาลจัดสรรงบกลางให้สาธารณสุขเพียง 1,500 ล้านบาท จากงบกลาง 4 แสนกว่าล้านบาทนั้น ไม่เพียงพอกับการต่อสู้กับ COVID-19 ขอย้ำว่า ให้ทุ่มงบกลางให้โรงพยาบาลและแพทย์ให้มากที่สุด
2) เร่งแก้ไขปัญหาคอขวด การนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น ทั้งแก้ระเบียบ และสั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งเปิดทางในการนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น เป็นการชั่วคราวในภาวะฉุกเฉินนี้
3) ควรเพิ่ม “เบี้ยเสี่ยงภัย” ให้นักรบของเรา ทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่ต่ำกว่า 2 เท่า รวมทั้งการดึง อสม.มาช่วยในชุมชนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจัดเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย
4) ออกคำสั่งห้ามส่งออกอุปกรณ์ทุกชนิดที่ผลิตได้ในประเทศ และจำเป็นต้องใช้ เพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การรักษาประชาชนในประเทศ อย่างเด็ดขาด ทั้งหน้ากากอนามัย และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่ในประเทศต้องการใช้
5) ระมัดระวังไม่ให้กลุ่มแสวงหาผลประโยชน์นี้ กักตุน และปั่นราคาสินค้าอื่นๆ เช่นเดียวกับที่ทำกับ หน้ากากอนามัย, เจลแอลกอฮอล์, ไข่ไก่ ฯลฯ ได้อีกต่อไป
ส่วน “กรณ์ จาติกวณิช” ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้า ก็โพสต์ข้อความ ในเฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij-กรณ์ จาติกวณิช เกี่ยวกับการจ่ายเงินเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ คนละ 5,000 บาท ว่ารัฐบาลต้องเพิ่มวงเงินเพื่อดูแลผู้เดือดร้อนให้ทั่วถึง ผู้เดือดร้อนมีมากกว่า 3 ล้านคนแน่นอน และรัฐบาลจะถูกกล่าวหาว่าคัดเลือกผู้ได้สิทธิอย่างไม่เป็นธรรม และนี่ยังไม่นับถึงผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 อีกจำนวนมากที่ถูกลดเงินเดือน หรือถูกพักงาน และไม่เข้าข่ายที่จะได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการ ของสำนักงานประกันสังคม โดยเฉพาะพนักงานกลุ่มภาคการท่องเที่ยว และบริการทั้งหมด
ส่วนการออก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 200,000 ล้านบาท ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้าเสนอว่า ก่อนออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ รัฐควรปรับแผนการใช้เงินงบประมาณ และโอนงบที่ไม่เร่งด่วน หรือ มีแนวโน้มว่าจะใช้ไม่ทันในปีงบประมาณมาเป็นเงินทุนเพื่อดูแลประชาชนให้ทั่วถึง ทุกกระทรวง “กระทรวงละ 10%” ได้เพิ่มอีกประมาณ 3 แสนกว่าล้าน วินัยทางการคลังยังสำคัญ ทุกคนเชียร์ให้รัฐบาลช่วยเหลือประชาชน แต่ต้องใช้เงินภาษีให้เหมาะสมที่สุดในยามนี้
ทางด้าน “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวตอนหนึ่งในการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ถึงกรณีรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าในการทำสงครามครั้งนี้เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน ไม่ใช่สงครามทางการทหาร หลายคนในโลก Social Media ได้แสดงความกังวลว่านี่จะเป็นการรัฐประหารเงียบหรือไม่นั้น ส่วนตัวบอกได้เลยว่าไม่เชื่อว่าจะเป็นการรัฐประหารเงียบ เพราะในประเทศไทยไม่มีคนบ้าที่จะไปยึดอำนาจจาก โควิด-19 ดังนั้น บางเรื่องในบางสถานการณ์อย่าแสดงความวิตกไปจนเกินเหตุ เพราะสถานการณ์ในขณะนี้หากใครไปคิดเช่นนั้นตนเชื่อว่า สติสัมปชัญญะก็แย่เต็มที
แกนนำตัวท็อปของคนเสื้อแดงยังบอกอีกว่า สิ่งที่ทางการแพทย์ได้ร้องขอต่อประชาชน คือ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หากมีการปฏิบัติกันอย่างครบถ้วน และบางสถานที่ทำงาน หรือหน่วยงานที่ยังมีความจำเป็น ก็ต้องมีมาตรการป้องกัน ทั้งการฉีดยาฆ่าเชื้อ หรือแม้กระทั่งการสวมหน้ากากอนามัย
“ผมเชื่อมาตั้งแต่ต้นว่า หากแต่ละคนได้แสดงความรับผิดชอบ และรัฐบาลเองจะต้องแสดงความเชื่อมั่นว่า ประชาชนที่เข้าข่ายสงสัยว่าติดเชื้อ ต้องไม่มีภาระเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ว่าการตรวจ หรือการรักษา ซึ่งช่วงเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่าการสร้างความเชื่อมั่น เพื่อให้เกิดมีความกล้า ส่วนประชาชนที่ไม่เข้าข่ายว่าติดเชื้อก็อย่าวิตกจนเกินไป”
เห็นได้ชัดว่า คนระดับบิ๊กทางการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน และนักเคลื่อนไหวที่อยู่ตรงข้าม “ลุงตู่” มาตลอด วันนี้มีท่าทีที่สร้างสรรค์ ไม่เอาแต่ด่าอย่างไร้เหตุผลเหมือนบางคน ไม่เอาแต่เล่นการเมืองเหมือน ส.ส.บางพรรค ไม่บ้าบอถึงขนาดคิดได้ว่ารัฐบาลมีแผนการร้ายปล่อยโควิด-19 ระบาด เพื่อจะได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาแก้ไข และสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย หรืออย่าง “นคร มาฉิม” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวหาว่า การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินของ “ลุงตู่” เป็นการทำรัฐประหารเงียบ อีกด้วย ซึ่ง “นคร” คนนี้คือคนที่เคยไปคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร ถึงการเดินทางกลับไทยได้อย่างไรมาก่อนหน้านี้
การออกมาเสนอแนวทางสู้โควิด-19 อย่างสร้างสรรค์เช่นนี้ คือสิ่งที่รัฐบาลและประชาชนคนไทยหลายฝ่ายต้องการเห็น จึงเชื่อว่านี่คือนิมิตหมายที่ดีที่คนไทยจะก้าวพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้อย่างไม่ยากเย็นในไม่ช้าด้วย