นิมิตหมายที่ดีมาแล้ว เมื่อ “คุณหญิงหน่อย” บิ๊กเพื่อไทย “กรณ์” บิ๊กกล้า และ “ตู่ จตุพร” บิ๊กเสื้อแดง หันหน้าเข้าหา “ลุงตู่” เสนอสู้โควิด-19 อย่างสร้างสรรค์ ดีดปากพวกเอาแต่ด่า “รัฐประหารเงียบ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (29 มี.ค. 63) เฟซบุ๊ก Sudarat Keyuraphan ของ “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความหัวข้อ
“การสู้รบกับ “ศัตรูที่มองไม่เห็น”
ขวัญ-กำลังใจ และอุปกรณ์ป้องกันตัว
คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ค่ะ”
โดยระบุว่า “ขวัญ-กำลังใจ คือ สิ่งที่ประชาชนไทย พร้อมใจกันมอบให้กับ “นักรบด่านหน้า” ทุกท่าน ที่เสียสละ “เสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตพวกเรา” ด้วยความซาบซึ้งใจยิ่ง
โดยเวลา 20:00-20:05 น. คืนนี้ ประชาชนทั้งประเทศได้นัดกับตบมือให้กำลังใจ คุณหมอ-พยาบาล ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน จากทุกตรอกซอกซอย คอนโด หอพัก อพาร์ตเมนต์ บ้านพัก ชุมชน ตลอดจนทุกแหล่งพักอาศัย ทุกๆ ที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่
ส่วนในเรื่องอุปกรณ์ป้องกันตัวของบุคลากรทางการแพทย์นั้น หน้าที่หลักในการจัดหา “เป็นหน้าที่ของรัฐบาล” ที่จะอนุมัติเงินจาก “ภาษีอากรของพี่น้องประชาชน” ที่ส่งให้รัฐทุกปี ไปใช้ในการจัดซื้อจัดหามาให้ ซึ่งขอเน้นย้ำว่า รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับแรก และถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด...!!
นายกฯประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเป็นวันที่ 4 แล้ว เรื่องเร่งด่วนที่นายกฯ ควรจัดการมากที่สุด คือ การผ่าตัดระบบการบริหารจัดการอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อให้ทุกโรงพยาบาลมีอุปกรณ์ต่างๆ ใช้อย่างเพียงพอ จะปล่อยให้ขาดแคลน จนถึงขั้นที่ต้องใช้ถุงก๊อปแก๊ปมาครอบกันเชื้อ หรือซักมาสก์ตากไว้ใช้ซ้ำอีก อย่างที่ผ่านมาไม่ได้ นายกฯต้องลงมาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และต้องลงมือทำเดี๋ยวนี้ค่ะ!!
อย่าลืมว่า การที่นายกฯส่งคุณหมอไปใกล้ชิดรักษาผู้ป่วย โดยที่ไม่สนับสนุนอุปกรณ์ป้องกันตัวให้นั้น มันไม่ต่างอะไรจาก ผบ.ทบ.ส่งทหารราบออกไปรบ โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันกระสุนเลยค่ะ
นอกจากนั้นแล้ว ที่ผ่านมา ยังมีกลุ่มบุคคลที่โยงใยถึงคนในรัฐบาล ได้แสวงหาผลประโยชน์ จากอุปกรณ์เหล่านี้ จนกระทั่งทั้งคุณหมอ และประชาชนทั่วไปไม่มีใช้ เมื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว นายกฯก็ควรจัดการให้เด็ดขาด ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายประจำ เพื่อสร้างขวัญ-กำลังใจ และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกลับมา
ดิฉันขอเสนอให้นายกฯ ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สู้ COVID-19 ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เร่งดำเนินการเรื่องต่อไปนี้ให้เร็วที่สุด
1) เร่งจัดสรรงบกลางให้ รพ. ให้มากพอที่จะจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่ขาดทั้งหมด กระจายอำนาจการจัดซื้อให้ รพ.จัดซื้อเอง โดยแก้ระเบียบจัดซื้อและข้อบังคับต่างๆ ชั่วคราวในภาวะวิกฤต เพื่อให้รพ.ต่างๆ สามารถจัดซื้ออุปกรณ์ที่ รพ.ต้องการซื้อได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลจัดสรรงบกลางให้สาธารณสุขเพียง 1,500 ล้านบาท จากงบกลาง 4 แสนกว่าล้านบาทนั้น ไม่เพียงพอกับการต่อสู้กับ COVID-19 ขอย้ำว่า ให้ทุ่มงบกลางให้ รพ. และแพทย์ให้มากที่สุด
ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเสนอให้รัฐบาลตัดงบที่ไม่จำเป็นเร่งด่วน จากทุกกระทรวงลงมาสัก 10% เพื่อเกลี่ยเงินจำนวน 8-9 หมื่นล้านออกมาใช้เพื่อแก้ปัญหา วิกฤตโควิด-19 ก่อน โดยเชื่อว่าประชาชนเจ้าของภาษีอากร และฝ่ายค้านทุกพรรคการเมือง จะให้ความเห็นชอบ ให้กระทำได้อย่างรวดเร็วค่ะ
2) เร่งแก้ไขปัญหาคอขวด การนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น ทั้งแก้ระเบียบ และสั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งเปิดทางในการนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น เป็นการชั่วคราวในภาวะฉุกเฉินนี้
3) ควรเพิ่ม “เบี้ยเสี่ยงภัย” ให้นักรบของเรา ทั้งแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่ต่ำกว่า 2 เท่า รวมทั้งการดึง อสม.มาช่วยในชุมชนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งจัดเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย
4) ออกคำสั่งห้ามส่งออกอุปกรณ์ทุกชนิดที่ผลิตได้ในประเทศ และจำเป็นต้องใช้ เพื่อการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค การรักษาประชาชนในประเทศ อย่างเด็ดขาด ทั้งหน้ากากอนามัย และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่ในประเทศต้องการใช้
ต่อไปนี้ประเทศไทยต้องไม่มีการ “เสียค่าโง่” ในการควบคุมราคาอุปกรณ์ โดยที่ไม่มีของขายจริง และปล่อยให้กลุ่มบุคคลหาผลประโยชน์ จากการส่งออกอุปกรณ์ไปขายแพงๆในต่างประเทศ จนคนไทยไม่มีใช้อีกต่อไป
5) ระมัดระวังไม่ให้กลุ่มแสวงหาผลประโยชน์นี้ กักตุน และปั่นราคาสินค้าอื่นๆ เช่นเดียวกับที่ทำกับ หน้ากากอนามัย, เจลแอลกอฮอล์, ไข่ไก่ ฯลฯ ได้อีกต่อไป
ขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาในข้อเสนอเหล่านี้ เพื่อให้การควบคุมการแพร่ระบาด, รักษาคนไข้อย่างมีประสิทธิภาพ, บำรุงขวัญและกำลังใจให้ “นักรบด่านหน้า” ตลอดจนเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล กลับคืนมาให้กับพี่น้องประชาชนไทย โดยเร็วค่ะ”
สอดรับกับ เฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij - กรณ์ จาติกวณิช
ของ นายกรณ์ จาติกวณิช ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้า ที่โพสต์ข้อความระบุว่า
“เพียงคืนแรกมีประชาชนลงทะเบียนขอความช่วยเหลือ 5,000 บาท กว่า 10 ล้านคน (ตัวเลข ณ เวลา 8.00 น. 29 มี.ค. 2663) ในขณะที่รัฐบาลเตรียมงบประมาณไว้เพื่อ 3 ล้านคน
ขอยํ้าอีกครั้งครับว่า รัฐบาลต้องเพิ่มวงเงินเพื่อดูแลผู้เดือดร้อนให้ทั่วถึง ผู้เดือดร้อนมีมากกว่า 3 ล้านคนแน่นอน และรัฐบาลจะถูกกล่าวหาว่า คัดเลือกผู้ได้สิทธิอย่างไม่เป็นธรรม
และนี่ยังไม่นับถึงผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อีกจำนวนมากที่ถูกลดเงินเดือน หรือถูกพักงาน และไม่เข้าข่ายที่จะได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการของสำนักงานประกันสังคม โดยเฉพาะพนักงานกลุ่มภาคการท่องเที่ยว และบริการทั้งหมด
รัฐบาลให้สัญญาณว่าจะออก พ.ร.ก.กู้เงินฉุกเฉิน 200,000 ล้านบาท
แต่ก่อนจะกู้เพิ่ม ผมขอเสนออีกครั้งว่า “รัฐควรปรับแผนการใช้เงินงบประมาณ และโอนงบที่ไม่เร่งด่วน หรือมีแนวโน้มว่าจะใช้ไม่ทันในปีงบประมาณมาเป็นเงินทุนเพื่อดูแลประชาชนให้ทั่วถึง ทุกกระทรวง กระทรวงละ 10% ได้เพิ่มอีกประมาณ 3 แสนกว่าล้าน”
วินัยทางการคลังยังสำคัญ ทุกคนเชียร์ให้รัฐบาลช่วยเหลือประชาชน แต่ต้องใช้เงินภาษีให้เหมาะสมที่สุดในยามนี้
#เราไม่ทิ้งกัน #สู้ไปด้วยกัน
#กล้า #เรามาเพื่อลงมือทำ
นอกจากนี้ ยังมีความเห็นที่น่าสนใจของ “ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวตอนหนึ่งในการจัดรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ถึงกรณีรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ในการทำสงครามครั้งนี้เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน ไม่ใช่สงครามทางการทหาร หลายคนในโลก Social Media ได้แสดงความกังวลว่า นี่จะเป็นการรัฐประหารเงียบหรือไม่นั้น
ส่วนตัวบอกได้เลยว่า ไม่เชื่อว่าจะเป็นการรัฐประหารเงียบ เพราะในประเทศไทยไม่มีคนบ้าที่จะไปยึดอำนาจจากโควิด- 19 ดังนั้น บางเรื่อง ในบางสถานการณ์ อย่าแสดงความวิตกไปจนเกินเหตุ เพราะสถานการณ์ในขณะนี้หากใครไปคิดเช่นนั้น ตนเชื่อว่า สติสัมปชัญญะก็แย่เต็มที
นายจตุพร กล่าวอีกว่า สิ่งที่ทางการแพทย์ได้ร้องขอ คือ อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ หากมีการปฏิบัติกันอย่างครบถ้วน และบางสถานที่ทำงานหรือหน่วยงานที่ยังมีความจำเป็นก็ต้องมีมาตรการป้องกัน ทั้งการฉีดยาฆ่าเชื้อหรือแม้กระทั่งการสวมหน้ากากอนามัย
และที่สำคัญที่สุด คือ บุคลากรที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะต้องทำงานที่บ้าน หรือไม่ไปในที่ใดก็ตามที่ไปพบปะผู้คนเพื่อแสดงความรับผิดชอบต้อสังคม เพราะผู้ติดเชื้อ 1,388 รายนั้น มีที่มาที่ไป เมื่อตรวจสอบดูแล้วมีพื้นที่เพียงไม่กี่จุดเท่านั้น
“ผมเชื่อมาตั้งแต่ต้นว่า หากแต่ละคนได้แสดงความรับผิดชอบ และรัฐบาลเองจะต้องแสดงความเชื่อมั่นว่าประชาชนที่เข้าข่ายสงสัยว่าติดเชื้อ ต้องไม่มีภาระเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ว่าการตรวจหรือการรักษา ซึ่งช่วงเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่าการสร้างความเชื่อเพื่อให้เกิดมีความกล้า ส่วนประชาชนที่ไม่เข้าข่ายว่าติดเชื้อก็อย่าวิตกจนเกินไป”
เห็นได้ชัดว่า คนระดับบิ๊กทางการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้าน และนักเคลื่อนไหว ที่อยู่ตรงข้าม “ลุงตู่” มาตลอด วันนี้มีท่าทีที่สร้างสรรค์ ไม่เอาแต่ด่าอย่างไรเหตุผลเหมือนบางคน ไม่เอาแต่เล่นการเมืองเหมือน ส.ส.บางพรรค ไม่บ้าบอถึงขนาดคิดได้ว่า รัฐบาลมีแผนการร้ายปล่อยโควิด-19 ระบาด เพื่อจะได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาแก้ไข และสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย
ยิ่งกว่านั้น วานนี้ (28 มี.ค.) นคร มาฉิม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังโพสต์เฟซบุ๊ก กล่าวหาว่า การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินของ “ลุงตู่” เป็นการทำรัฐประหารเงียบอีกด้วย ซึ่ง นคร คนนี้ คือ คนที่เคยไปคุยกับ นายทักษิณ ชินวัตร ถึงการเดินทางกลับไทยได้อย่างไรมาก่อนหน้านี้...
การออกมาเสนอแนวทางสู้โควิด-19 อย่างสร้างสรรค์เช่นนี้ คือ สิ่งที่รัฐบาล และประชาชนคนไทยหลายฝ่ายต้องการเห็น จึงเชื่อว่า นี่คือ นิมิตหมายที่ดี ที่คนไทยจะก้าวพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้อย่างไม่ยากเย็นในไม่ช้าด้วย