ปธ.ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ข้องใจมี 200 บริษัทผลิตหน้ากากอนามัย แต่ขาดตลาดได้อย่างไร ทั้งที่ระงับส่งออก แถมมีการนำส่วนต่างขายตลาดมืด มั่นใจเอาผิดอธิบดีกรมการค้าภายในได้ หวั่นมวยล้มต้มคนดู ไม่อยากให้ข้อมูลมาก
วันนี้ (26มี.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมประชุมคณะอนุกรรมธิการชุดที่ 2 คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ว่าตนจะให้ข้อมูลกัต่อ กมธ.ว่าบริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยมีมากกว่า 200 บริษัท หากทุกบริษัทร่วมกันผลิตก็น่าจะมีหน้ากากอนามัยมากกว่า 200-300 ล้านชิ้นต่อเดือน ซึ่งใน 200 บริษัทมีทั้งการนำเข้า-ส่งออก และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศไทย จึงไม่ทราบว่าของขาดตลาดได้อย่างไร นอกจากจะระงับการส่งออกแล้วยังไม่ให้มีการผลิตของให้กับประชาชนคนไทยได้ใช้ จึงไม่ทราบว่าเหตุใดจึงต้องล็อกแค่ 11 บริษัท และ 2 ใน 11 บริษัทก็ได้มีการนำหน้ากากอนามัยไปขายในตลาดมืดเป็นจำนวนมาก
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า มีบริษัทหนึ่งขายหน้ากากอนามัยให้นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือบอย เมื่อวันที่ 29 ม.ค.จำนวน 1 ล้านชิ้น ในราคาชิ้นละ 3.40 บาท บางคนได้ค่านายหน้า 40 สตางค์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้มีการประกาศห้ามการส่งออกในวันที่ 4 ก.พ.ซึ่งบริษัทต้องจัดส่งยอดที่มีอยู่ในสต๊อกในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ โดยบริษัทได้แจ้งว่ามีกำลังการผลิตวันละ 200,000 ชิ้น แต่แท้ที่จริงบริษัทมีกำลังการผลิตวันละ 500,000 ชิ้น ซึ่งได้นำส่วนต่างจำนวนวันละ 300,000 ชิ้น ไปขายในตลาดออนไลน์ และนำส่งไปต่างประเทศ จึงอยากทราบว่ากรมการค้าภายในควบคุมสินค้าอย่างไรทำให้ไม่มีของขายในตลาดประเทศไทย หากนำทั้ง 200 บริษัทมาร่วมกันผลิตสินค้าจะขาดตลาดได้อย่างไร
นายอัจฉริยะกล่าวต่อว่า จากข้อมูลหลักฐานที่ตัวเองมีอยู่เชื่อว่าสามารถเอาผิดอธิบดีกรมการค้าภายในได้ รวมถึงเกี่ยวพันกับหลายหน่วยงาน ขึ้นอยู่กับว่าทาง กมธ.จะเอาจริงหรือไม่ ส่วนตัวกลัวว่าจะเป็นมวยล้มต้มคนดูจึงไม่อยากให้ข้อมูลมาก ทั้งที่ตัวเองก็มีข้อมูลเชิงลึกอยู่จำนวนมาก โดยเรื่องนี้เป็นหน้าที่ฝ่ายค้านที่ต้องตรวจสอบหาความจริงให้ได้ว่าหน้ากากอนามัยหายไปไหน ใครเป็นคนอนุญาตให้ส่งออก ขณะเดียวกัน หากกรมการค้าภายในยอมให้ข้อมูลทั้ง 242 บริษัท ยอมให้ข้อมูลต่อ กมธ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะง่ายต่อการตรวจสอบ แต่ที่ผ่านมากรมการค้าภายในไม่เคยให้ข้อมูลเลย