เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนที่รำคาญพวกนักการเมืองหลายคนที่เอาแต่จิกด่า หาเรื่องมาบิดเบือนในยามที่เมืองกำลังตื่นกลัวกับโรคระบาดจากเชื้อไวรัส “โควิด-19” ในเวลานี้ หลายคนมีวัตถุประสงค์เพียงแค่ทำทุกทางเพื่อให้รัฐบาลนี้ล้มไปให้ได้ หรือดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเวลานี้จะว่าไปแล้วเป็นช่วงปิดสภาสมัยสามัญ โดยสภาจะเปิดอีกครั้งในเดือนพฤษภาคม ทำให้ความเคลื่อนไหวในสภาต้องลดลงไป แต่ในเวลานี้ก็ยังมีความพยายามของ ส.ส.ฝ่ายค้าน ที่จะเสนอขอเปิดสภาสมัยวิสามัญโดยอ้างว่าเพื่อระดมความคิดเห็นแก้ปัญหาสารพัดที่กำลังรุมเร้าเข้ามาในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง การรับฟังความเห็นของบรรดาเด็กๆเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และที่สำคัญก็คือปัญหาวิกฤติจากไวรัสโควิด -19 ที่กำลังมีแนวโน้มระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังลุ้นกันว่าจะเข้าสู่การระบาดระยะที่สามคือระยะระบาดหนักหรือไม่ เมื่อพิจารณาจากการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องรายวัน
แม้ว่าโดยหลักการประชาธิปไตยการระดมความเห็นเพื่อหาแนวทางไปสู่การแก้ปัญหาเป็นหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และสมควรทำ เมื่อใดก็ตามที่บ้านเมืองกำลังสู่ภาวะวิกฤตทุกคนต้องร่วมไม้ร่วมมือกันไม่เลือกเขาเลือกเรา เชื่อว่าชาวบ้านที่เป็นคนไทยทุกคนอยากเห็นบรรยากาศแบบนั้น แต่นั่นอาจเป็นจินตนาการมองโลกสวยงามในนิยายเท่านั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง
คำถามก็คือ การ “เปิดสภาสมัยวิสามัญ” มีความจำเป็นและได้ประโยชน์คุ้มค่าจริงหรือไม่ และที่สำคัญเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบว่าเมื่อเปิดสภาสมัยวิสามัญแล้ว ชาวบ้านจะได้รับประโยชน์จาก “สติปัญญา” อันหลักแหลมของพวกบรรดา ส.ส.และนักการเมืองเหล่านั้นหรือไม่
หรือหากมองย้อนกลับไปในช่วงระยะเวลา 5-6 เดือนที่มีสภา มี ส.ส.เข้ามาอยู่ในสภาชาวบ้านได้เห็นความรู้ความสามารถอัน “เหนือชั้น” ในการแก้ปัญหา และน่าสนใจชวนติดตามอย่างโดดเด่นบ้างหรือไม่ ในทางตรงกันข้ามที่ผ่านมาภาพชินตาที่ได้เห็นก็คือความไร้วุฒิภาวะ ไร้มาตรฐานและที่สำคัญก็คือ “ไร้ความสามารถ” แม้ว่าการระบุแบบนี้มันเหมือนกับการ “เหมารวม” ไม่เป็นธรรมกับอีกหลายคนในสภา แต่ส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่แบบนั้น แต่ที่เหลือก็ไม่ได้แสดงบทบาทที่โดดเด่นจนถึงขั้นต้องฝากฝังให้ช่วยแก้ปัญหาที่เป็นวิกฤติให้เป็นที่พึ่งพิงได้เหมือนกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดและอาจกลายเป็น “ภาพหลอน” ของชาวบ้านหลายคนที่เฝ้ามองการเมืองในแบบของการ “โหยหาประชาธิปไตย” ก็คือภาพลักษณ์จากการอภิปรายไม่ไว้วางในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าจะว่าไปแล้วการชี้แจงตอบคำถามของฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก บางคนอาจยังมีข้อกังขากับสังคมไม่เปลี่ยนแปลง แต่อีกด้านหนึ่งในซีกของ “ฝ่ายค้าน” กลับน่าผิดหวังยิ่งกว่า เพราะกลายเป็นว่าเรื่องราวที่นำมาอภิปรายล้วนไม่มีน้ำหนัก ไม่มีหมัดเด็ดที่พอน็อกฝ่ายรัฐบาลได้เลย เรียกว่า “ไม่ระคายผิว” กลายเป็นว่า “ไม่สมราคาคุย” ตามที่โม้แหลกเอาไว้หลายสัปดาห์ เพราะมีการตั้ง “วอร์รูม” มีทีมงานหาข้อมูล มีการเก็บตัว ดูแล้วอลังการงานสร้างที่ต้องทำให้ฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนอื่นที่เหลืออีก 5 คนในรายชื่อถูกซักฟอกต้องอยู่ไม่ได้แน่นอน
แต่เมื่อถึงวันอภิปรายจริง ก็อย่างที่เห็นว่าผลออกมาเป็นอย่างไร สมราคาคุยหรือไม่ มิหนำซ้ำผลจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนั้นยังทำให้ฝ่ายค้านด้วยกันเองออกมาแฉโพยกันเองว่า “หักหลัง” กล่าวหาอีกฝ่ายว่า “ทรยศ” มีการกีดกันเวลาของอีกฝ่าย หรืออีกฝ่ายไปเจรจาลับกับฝ่ายรัฐบาลหรือกล่าวหาว่า “ฮั้ว” กัน ดังที่เห็นภาพความโกรธเกรี้ยวระหว่างแกนนำของอดีตพรรคอนาคตใหม่ กับแกนนำพรรคเพื่อไทยที่ตอบโต้กันอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็เงียบไป มีการเคลียร์กันเรียบร้อย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องกัดฟันทำงานร่วมกันต่อไป
นั่นเป็นตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดของสภาในช่วงที่ผ่านมาว่าน่าสนใจแค่ไหน หรือพอพึงพาได้หรือไม่ นอกเหนือจากนี้ด้วยสติปัญญาเท่าที่เห็นของแต่ละคนเมื่อพิจารณาอย่างมีเหตุผลแล้วถือว่าน่าจะสามารถมีความคิดหรือมีสติปัญญาเหนือกว่าหรือ “โดดเด่น” แหลมคมกว่าที่เป็นอยู่หรือไม่
ในทางตรงกันข้ามเมื่อเชื่อว่าไม่มีอะไรโดดเด่นแล้วมีความจำเป็นแค่ไหนกับการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อระดมความเห็นเพื่อ “เค้น” เอาความคิดของพวกเขามาช่วยแก้ปัญหาของบ้านเมืองที่กำลังส่อเค้าวิกฤติจากปัญหาที่รุมเร้าอยู่ในเวลานี้ หรือเป็นเพียงแค่เวที “ด่าฝ่ายตรงข้าม” เป็นเวทีของพวก “บ้าน้ำลายไร้สาระ”หรือไม่ เพราะถ้าเป็นอย่างหลังถือว่าไร้ประโยชน์ เปลืองน้ำเปลืองไฟ
ขณะเดียวกัน การเสนอความเห็นในเวลานี้ก็สามารถทำได้หลายช่องทาง นั่นคือ สามารถใช้สื่อโซเชียลนำเสนอความเห็นออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ก็นั่นแหละเท่าที่เห็น เท่าที่ประมวลมาส่วนใหญ่ก็มีแต่กล่าวหา มีแต่ด่า ไม่มีการเสนอทางออกที่แหลมคมกว่าที่เป็นอยู่แต่อย่างใด !!