นายกฯ เตรียมเปิด รพ.ศูนย์เฉพาะกิจรักษาโควิด-19 โดยเฉพาะ หากเข้าสู่เฟส 3 จ่อให้กลุ่มเสี่ยงตรวจฟรี 72 ชม. รับหารือแล้วข้อเสนอปิดผับ ขอความร่วมมือ แต่หากสถานการณ์จำเป็นก็ต้องปิดทั้งหมด
วันนี้ (15 มี.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่า การมาประชุมในวันนี้ เพราะนายกฯมีความกังวล ว่า จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้อย่างไร จึงมานั่งไล่ตรวจสอบกันในทุกหน่วยงานตามมาตรการที่ได้ประกาศออกไปแล้วว่าทำไปได้แค่ไหนอย่างไร และปัญหาอยู่ตรงไหน รวมทั้งได้ทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่ทำลงไป รวมถึงหน้ากากอนามัย ซึ่งวันนี้ผมสั่งให้ไปรวบรวมเกี่ยวกับเรื่องของหน้ากากอนามัย ว่า ในส่วนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้น มีประเทศใดบ้าง กำลังตรวจสอบยอดที่เข้ามาว่ามีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อดูว่ายอดที่นำเข้ามากับยอดที่ผลิตในประเทศรวมแล้วมีจำนวนเท่าไหร่ มีพอเพียงหรือไม่ ขณะเดียวกัน ได้สั่งให้มีการไปเพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการผลิตตามสายผลิตของโรงงานต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น โดยมีมาตรการที่รัฐสนับสนุนและส่งเสริมซึ่งอาจต้องใช้เวลาบ้าง อีกทั้งได้มีการหารือกับประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบ โดยเฉพาะการประสานกับทางจีน เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศจีน นอกจากนี้ เรากำลังเร่งพัฒนาหน้ากากอนามัยทางเลือก ซึ่งสามารถใช้กับบุคคลทั่วไป โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่ได้ไปใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยงหรือพื้นที่เสี่ยง เรื่องเหล่านี้ประชาชนจะต้องเกิดความเข้าใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดคุยถึงการเตรียมมาตรการรองรับหากสถานการณ์เข้าสู่ระยะที่ 3 ว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะต้องทำอะไร เตรียมการในส่วนใดบ้าง ฝ่ายความมั่นคงต้องไปพิจารณาว่าจะต้องใช้กฎหมายใดเพื่อเพิ่มเติมเป็นพิเศษ
การประกาศนั้นง่ายอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญเราต้องมาดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะต้องทำอย่างไร ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ และเรื่องสุขภาพล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญทั้งสิ้น
“ยอมรับว่า วันนี้ประชาชนเดือดร้อนเยอะ จึงอยากขอร้องว่าวันนี้ยังไม่ถึงขั้นตอนที่จะต้องไปกักตุนอะไรนักหนา ผมคิดว่าอย่าไปกลัวถึงขนาดนั้นเลย วันนี้เรามีมาตรการเพิ่มเติมขึ้นมา ทั้งในเรื่องการติดตามตัว การใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆกำลังพิจารณาดูว่าจะบังคับใช้กับทุกคนได้หรือไม่ เพราะบางครั้งก็ติดในเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล จะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าตัว” นายกฯกล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เราต้องแยกการปฏิบัติในส่วนของคนไทย และในส่วนของชาวต่างประเทศ ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการที่เสนอมาโดยคณะแพทย์ อย่าลืมว่า นายกรัฐมนตรีไม่ใช่หมอ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหาร เราก็ต้องฟังหมอเป็นหลัก ซึ่งวันนี้หมอที่มาร่วมประชุมไม่ใช่หมอเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข แต่มีหมอจากภายนอกเข้ามา ซึ่งมีหมออาวุโส ผู้เชี่ยวชาญ เพราะประเทศไทยมีโรคระบาดเกิดขึ้นหลายโรคแล้ว วันนี้ทุกฝ่ายได้เข้ามาช่วยกันทั้งหมด เว้นแต่บางคนที่ยังเข้ามาไม่ได้ เพราะบางครั้งยังพูดไม่ตรงกัน ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องพูดตรงกับรัฐบาลแล้วถึงจะให้เข้ามาร่วมทำงาน เพียงแต่เราต้องฟังเหตุและผลด้วยกัน ช่วงนี้จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกคน นายกฯให้ความสำคัญกับทุกคน วันนี้คนไทยที่กลับจากต่างประเทศเราก็มีมาตรการดูแล ทั้งนักศึกษาทุนเอเอฟเอส และแรงงาน เพราะทุกคนก็ต้องการกลับบ้าน เราต้องมาดูถึงมาตรการการคัดกรอง ทั้งเรื่องของสถานที่ อย่างที่ศูนย์สัตหีบเราก็ยังมีการใช้อยู่ ไม่ได้สั่งปิดหรือเปิด เมื่อมีคนเข้ามาและจำเป็นต้องเข้าไปใช้ก็ต้องใช้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับเรื่องโรงพยาบาลในอนาคต ตนได้ให้แนวทางไปว่าควรจะมีการจัดตั้งโรงพยาบาลที่เปิดเป็นศูนย์เฉพาะกิจในการรักษาพยาบาลโรคไวรัสโคโรนา ถ้าสถานการณ์เข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งขณะนี้มีสถานที่แล้วเป็นโรงพยาบาลที่สร้างใหม่ แต่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน มีจำนวนเตียงประมาณ 100 เตียง จะใช้เป็นโรงพยาบาลศูนย์เฉพาะกิจสำหรับโรคโควิดโดยเฉพาะ ถือเป็นมาตรการรองรับในอนาคตในส่วนของอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ก็ให้มีการเสนอขึ้นมาซึ่งรัฐบาลพร้อมทุ่มศัพท์พระกำลังในตรงนี้ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลสนับสนุนทุกเรื่องที่เป็นความต้องการของหน่วยงานภาครัฐจากมติของคณะกรรมการโรคระบาดแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอให้มีการปิดผับและสถานบันเทิงในพื้นที่เสี่ยง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเรื่องของสถานบันเทิงได้มีการหารือแล้ว ขณะนี้กำลังดูว่าถ้าขอความร่วมมือได้ก็จะขอความร่วมมือ ในส่วนที่มีปัญหาอยู่ก็ต้องดูว่าเขาพร้อมที่จะปิดตัวเองหรือยัง และเมื่อถึงเวลาจำเป็นก็อาจต้องปิดทั้งหมด แต่สิ่งนี้คืออีกขั้นตอนหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเราทำช้า แต่ต้องคำนึงถึงหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นสนามกีฬา สนามมวย ผับต่างๆ ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังไปหารือกันว่าควรมีมาตรการอย่างไร เรื่องนี้เราต้องฟังจากหมอว่าจะควบคุมอย่างไร
“ไม่ใช่อะไรก็จะให้นายกฯสั่งตาม ใครอยากได้อะไรผมจะต้องสั่ง ทำงานอย่างนี้ไม่ใช่ นับจากนี้ไปผมจะพูดให้น้อยลงก็แล้วกัน พูดเยอะเดี๋ยวกลายเป็นหมอตู่ไปอีก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อเสนอให้ประชาชนสามารถตรวจเชื้อหาเชื้อไวรัสโควิดฟรี เพื่อเป็นอีกวิธีในการป้องกันการแพร่ระบาด พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการเสนอแล้ว โดยจะมีการใช้กฎหมายกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ หรือ ยูเซ็ป (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ที่ เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2560 โดยให้ผู้ป่วยในทุกสิทธิการรักษาที่เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด ณ จุดเกิดเหตุได้ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชน ในช่วงเวลา 72 ชั่วโมงแรก ขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งต้องให้หมอเป็นผู้อธิบาย ตนไม่ใช่หมอ
เมื่อถามถึงการบูรณาการเรื่องของการท่าอากาศยาน ตามสนามบินต่างๆ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีบูรณาการภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่ต่างประเทศ สนามบิน พื้นที่ควบคุม ส่วนภาคปฏิบัติมีการบูรณาการกันอยู่แล้ว ถ้าเรามัวฟังแต่ในสื่อทุกอย่างก็มีปัญหา เราต้องยอมรับว่า สถานการณ์ไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาย่อมมีความยุ่งยาก สับสนพอสมควร เนื่องจากต้องดูแลคนจำนวนมาก ทั้งในและต่างประเทศมีการเข้าและออก วันนี้เจ้าหน้าที่ทำจนสามารถเข้ามาในระบบ ยืนยันว่า การบริหารจัดการรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ล่าช้า เพียงแต่หลายอย่างต้องอาศัยความเข้าใจ เนื่องจากมีคนจำนวนมากในการทำงานร่วมกัน อย่างวันนี้มีคนเข้าประเทศลดลงเยอะมาก ซึ่งสถิติก็มีอยู่แล้ว เที่ยวบินก็ลดลงจำนวนคนที่เคย เข้ามาวันละ 60,000- 70,000 คน วันนี้เหลือเพียง 6,000 คน เป็นปัญหาที่ตามมาซึ่งต้องมาคิดดูว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป แต่วันนี้สุขภาพถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด