สช. ชี้ สถานการณ์โควิด-19 ระบาด สามารถเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยเท่าที่จำเป็นได้ เพื่อประโยชน์สาธารณะ พร้อมเร่งจัดเวทีพลเมืองตื่นรู้ หนุนช่วยรัฐ สู้ภัยโควิด-19 หามาตรการเชิงสังคมที่ชุมชนมีส่วนร่วมเฝ้าระวัง และลดการแพร่ระบาดโควิด-19
วันนี้ (12 มี.ค.) นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (วช.) กล่าวถึงการเปิดเผยข้อมูลผู้ป่วยในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โควิด-19 (COVID-19) ว่า ข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพหรืออื่นใด โดยพื้นฐานแล้วมีกฎหมายปกป้องคุ้มครอง โดยข้อมูลส่วนบุคคลด้านสุขภาพตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ระบุไว้ชัดเจนว่า ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถนำไปเปิดเผย เพราะอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลนั้นได้ เว้นแต่เจ้าตัวประสงค์ให้เปิดเผย หรือมีกฎหมายเฉพาะบางอย่าง ซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ต้องเปิดเผยข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล แต่ต้องทำเท่าที่จำเป็นและจำเพาะเจาะจงว่าเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
“ยกตัวอย่าง มีผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มอีก 6 ราย จะเห็นว่า เป็นการเปิดเผยในลักษณะภาพรวมว่าเป็นชายหรือหญิง อยู่ไหน แต่ไม่จำเพาะเจาะจงถึงชื่อหรือตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการเปิดเผย เพราะถ้าไม่เปิดเลยสังคมก็จะสงสัย แต่ก็ไม่เปิดจนกระทบสิทธิส่วนบุคคล ประเด็นสำคัญกว่านั้น หากในสถานประกอบการมีพนักงานเจ็บป่วย ต้องบอกว่าตอนนี้เกิดเหตุแล้ว และต้องระบุให้ชัดเจนว่าเขาติดต่อจากใครและใครมาสัมผัสจากเขา จึงต้องรู้ชื่อ นี่เป็นดุลพินิจในการเปิดเผย เพื่อป้องกันตัวเขาและคนอื่นด้วย” นพ.ปรีดา กล่าว
นพ.ปรีดา กล่าวว่า สังคมควรมองในภาพใหญ่และต้องเข้าใจว่า การเปิดเผยข้อมูลเป็นไปอย่างรัดกุม เพื่อเฝ้าระวังอาการและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยที่สังคมจะต้องไม่โทษกันและกัน เพราะจะยิ่งทำให้ผู้มีอาการหลบเข้ามุมมืด ตรงกันข้าม ควรให้คำแนะนำช่วยเหลือว่าผู้มีอาการต้องปฏิบัติตนอย่างไร และควรรีบติดต่อหน่วยงานรัฐทางช่องทางไหน เป็นต้น ทั้งนี้ สช. กำลังจัดเวที “รวมพลังพลเมืองตื่นรู้ หนุนช่วยรัฐ สู้ภัยโควิด19” ในทุกจังหวัด เพื่อระดมความคิด รณรงค์ เปลี่ยนความตระหนกให้เป็นความตระหนัก ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ช่วยกันเฝ้าระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ระดับชุมชน ครอบครัว และตัวบุคคล