เมืองไทย 360 องศา
อาจไม่น่าสนใจที่อาจมาพูดถึงเรื่องการเมืองสำหรับบางพรรคในเวลานี้ ในช่วงเวลาที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19” ในระดับรุนแรง สร้างความตื่นตระหนกกันทั้งประเทศ และทั่วโลกแบบนี้ แต่ในเมื่อมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของบางพรรคมันก็อดไม่ได้เหมือนกันที่ต้องพิจารณา แม้ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องดังกล่าว แต่หากในสถานการณ์ปกติก็ต้องถือว่าน่าจับตาไม่เบาเหมือนกัน
ความเคลื่อนไหวของ “พรรคก้าวไกล” ที่ตามข่าวบอกว่า จะมี ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่จำนวน 55 คน จะยกขบวนเฮโลกันไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล โดยจะเปิดตัวในวันที่ 14 มีนาคมนี้ และแน่นอนว่า ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้วางตัว นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่เอาไว้แล้ว
แม้ว่าสำหรับพวก “ฝ่ายประชาธิปไตย” อาจจะมองดูแปลกๆ ที่การเป็นผู้บริหารพรรค หรือตำแหน่งหัวหน้าพรรคมีการ “สืบทอด” หรือแต่งตั้งกันได้ก็ตาม แต่สำหรับพรรคอนาคตใหม่ หากไม่ไร้เดียงสาจนเกินไป ก็น่าจะพอมองออกว่า นายธนาธร ก็คือ “เจ้าของพรรค” นั่นแหละ ไม่ได้ต่างไปจาก นายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย และมีอิทธิพลชี้นำต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทยในเวลานี้
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจาก “สถานะ” ของคนทั้งสองแล้ว โดยหลักๆ ก็ไม่แตกต่างกันนัก อาจจะต่างกันในเรื่องรายละเอียดและแนวความคิดเท่านั้น แต่ในเรื่องความเป็น “เจ้าสัว” หรือ นายทุนพรรคนั้นถือว่าใช่เลย เพราะ นายธนาธร ก็ถือว่าเป็นระดับ “มหาเศรษฐี” คนหนึ่งของประเทศมีทรัพย์สินนับหมื่นล้านบาท เพียงแต่ว่าเขาอาจไม่ได้สร้างตัวเองแต่ส่วนใหญ่เป็นมรดกจากครอบครัว
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นแบ็กกราวนด์ส่วนตัวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ต่อเนื่องมาจนถึงการลงทุนตั้งพรรคอนาคตใหม่จนกระทั่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง พร้อมกับกรรมการบริหารพรรคคนอื่นๆ เป็นเวลา 10 ปี จากความผิดในกรณีปล่อยกู้ให้กับพรรคจำนวน 191 ล้านบาท ที่ถือว่าเป็นการครอบงำพรรค
ที่ผ่านมา หลังจากที่มีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็มี ส.ส.หลายคนของพรรคได้ย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ตามกฎหมายภายใน 60 วัน รวมไปถึงกรณีที่ถูกขับบออกจากพรรคไปก่อนหน้านี้ที่เรียกว่ากรณี “งูเห่า” เอาเป็นว่า มีจำนวน ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ย้ายออกไปแล้วกว่า 10 คน จนยอดล่าสุดที่มีการยืนยันว่า มียอด ส.ส.ที่จะยกขบวนย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ คือ พรรคก้าวไกล จำนวน 55 คน และมีการวางตัวให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ และจะมีการเปิดตัวในวันที่ 14 มีนาคมนี้
แต่เมื่อสำรวจจากความเคลื่อนไหวล่าสุด กลายเป็นว่า “ยอดรวม” ของ ส.ส.ที่ว่าจะมีทั้งหมด 55 คนนั้น นาทีนี้อาจจะไม่ใช่แล้ว และเมื่อถึงเวลาจริงๆ ก็อาจจะเหลือไม่ถึง 50 คนก็ได้
เพราะเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและท่าทีล่าสุดของ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตพรรคอนาคตใหม่ ก็ได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่ไปร่วมกับพรรคใหม่ คือ พรรคก้าวไกล โดยเขาอ้างว่า พรรคใหม่ดังกล่าวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคอีสานเท่าที่ควร และยังอ้างว่า เมื่อไม่ได้ให้ความสำคัญ ก็ถือว่าการพัฒนาประเทศไม่มีทางประสบความสำเร็จ เนื่องจากปัญหาของภาคอีสานเป็นปัญหาหลักของชาติ ที่สามารถนำไปเป็นแบบในการพัฒนาในส่วนอื่นได้
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาก็ออกมาแสดงท่าทีและให้ความเห็นต่อคนที่ถูกวางตัวให้เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในความหมายที่ว่ายังไม่มีความเชื่อมั่น โดยเฉพาะการตั้งข้อสงสัยในเรื่องประสบการณ์และความรู้ความสามารถ
สำหรับ นายคารม ยังไม่เปิดเผยว่าจะย้ายไปสังกัดพรรคไหน เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 1 เดือน แต่ก็เป็นไปได้ที่อาจไปสังกัดพรรคเพื่อไทย หรือพรรคฝ่ายรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรก็ดี น่าสนใจก็คือ หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า สำหรับ นายคารม พลพรกลาง เมื่อครั้งที่สังกัดพรรคอนาคตใหม่ หากสังเกตให้ดีจะพบว่าเขาไม่ได้รับบทบาทที่โดดเด่นแต่อย่างใด ทั้งที่ด้วยชื่อชั้นในอดีตที่เคยเป็นทีมกฎหมายของ “คนเสื้อแดง” หรืออย่างน้อยก็เคยช่วยเหลือเป็นมือเท้าให้กับฝ่ายกฎหมายของ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่ามีบทบาทไม่น้อย แต่สำหรับการอยู่ในพรรคอนาคตใหม่ เขาแทบจะไม่มีบทบาทเลย อาจเป็นเพราะเขา “ไม่ใช่กลุ่มเพื่อน” ของ นายธนาธร ที่มี นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรค ที่ให้คำปรึกษาทางด้านกฎหมายเป็นหลัก หรือแม้กระทั่งบทบาทของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่หากระบุความหมายตรงๆ ของ นายคารม ระบุออกมา ก็คือ “ละอ่อน” นั่นแหละ
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวดังกล่าว เมื่อได้เห็นท่าทีของ นายคารม พลพรกลาง ทำให้เห็นสัญญาณของพรรคก้าวไกล ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คาดหมายเอาไว้คงไม่ได้ก้าวไกลอย่างที่คิดเอาไว้ และเอาเข้าจริงเมื่อถึงเวลา จะมี ส.ส.ที่เดินตามการชี้นิ้วของเขาเหลือกี่คนกันแน่ เพราะการเมืองมันมีหลายปัจจัย ที่เหนือความคาดหมาย !!