เมืองไทย 360 องศา
ก็เป็นอันเรียบร้อยชัดเจนไปอีกขั้นสำหรับบรรดา ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ล่าสุด มีการประกาศออกมาแล้วว่าจะยกขบวนกันไปสมัครเป็นสมาชิก “พรรคก้าวไกล” และจากการแถลงดังกล่าวก็รับรู้ว่าจะมี ส.ส.ที่เหลืออยู่จำนวน 55 คน ย้ายไปสังกัดพรรคดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากความเป็นมาของพรรคการเมืองพรรคนี้แล้ว ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ที่เริ่มจดทะเบียนในชื่อพรรคร่วมพัฒนาชาติไทย ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคผึ้งหลวง และช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง ก็มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็นพรรคก้าวไกล มีสมาชิกพรรค 2,690 คน มี สาขาพรรค 4 สาขา มีตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 13 เขตเลือกตั้ง มี นายราเชนธร์ ติยะวัชรพงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค (แต่เพิ่งเสียชีวิต) และมี นางปีใหม่ รัฐวงษา เป็นเลขาธิการพรรค และรักษาการแทนหัวหน้าพรรคอยู่ในเวลานี้
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่ชาวบ้านรับรู้กันทั่วแล้วว่า คนที่จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รวมไปถึงยังมีรายงานข่าวอีกว่า นายชัยธวัช ตุลาธน มาเป็นเลขาธิการพรรคก้าวไกลที่ว่านี้อีกด้วย
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากชื่อพรรคที่ชื่อว่า “พรรคก้าวไกล” ก็ต้องน่าจะเป็นความหวังว่าจะต้องมีความก้าวไป หรือไปข้างหน้าได้ไกลเป็นแน่ หากไม่คิดอะไรให้ซับซ้อน และพิจารณาเพียงแค่ชื่อแล้วเกิดความเคลิบเคลิ้มเชื่อกันตามนั้น มันก็อาจจะใช่
แต่หากในสัปดาห์หน้าที่มีการประกาศกันแล้วว่าจะมี ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปจากคดีการกู้เงินของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค ซึ่งตามการยืนยันว่ามีเหลืออยู่จำนวน 55 คน จะมีรายชื่อหัวหน้าพรรคคนใหม่ชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ เลขาธิการพรรคชื่อ นายชัยธวัช ตุลาธน มันก็ชัดเจนว่านี่คือพรรคที่ยังอยู่ภายใต้การครอบงำไม่ทางตรงก็ทางอ้อมของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งถูกมองว่าเป็น “นายทุน” หรือเจ้าของพรรคตัวจริงมาตั้งแต่พรรคเก่าที่ถูกยุบนั่นแหละ
ที่ผ่านมา หากจำกันได้ นายพิธา ได้ถูกดันก้นจาก นายธนาธร เป็นคนกล่าวถึงอุดมการณ์ และแนวทางการเมืองต่อไป ซึ่งหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมก็ต้องบอกว่า นี่คือ “ร่างทรง” ของเขานั่นแหละ เพราะหากมองตามศักยภาพถือว่าเขา (พิธา) ยังมีความละอ่อนในทางการเมืองมาก แต่หากพิจารณาจากตัวเลือกเท่าที่มีอยู่ก็ต้องบอกว่าเขานี่แหละเหมาะสมที่สุด
ขณะเดียวกัน คำถามที่น่าจะมีคำตอบอยู่ในตัวเองอยู่แล้วว่า ลำพังของ นายพิธา จะสามารถชักนำ ส.ส.ไปได้ถึง 55 คนได้จริงหรือ หากไม่ใช่เป็นเพราะต้องอาศัยร่มเงา และทุน (หนา) ระดับ “เจ้าสัว” เท่านั้นถึงจะเอาอยู่สำหรับการทำพรรคการเมือง อย่างไรก็ดี เชื่อว่า ภายในสัปดาห์หน้าก็คงจะเห็นความชัดเจนได้มากขึ้นว่าจะเป็นไปตามนี้หรือไม่ แต่เชื่อว่าไม่มีทางพลิกโผแน่นอน โดยเฉพาะในตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่จะตามมาอีกไม่นาน
แม้ว่าในทางการเมืองเกือบทุกพรรคหรือทุกพรรคก็ว่าได้ที่จะมีการบริหารจัดการในลักษณะแบบนี้ แต่ในกรณีของพรรคก้าวไกลสำหรับการย้ายไปสังกัดใหม่ของ ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่นี้ ทั้งลักษณะการย้ายไปสังกัด การกำหนดตัวหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรครวมทั้งคณะกรรมการบริหารพรรคในแบบใหม่ยกชุด มันก็ทำให้สังคมมองแบบตั้งคำถามว่านี่คือ การ “เซ้งพรรค” หรือเหมือนกับการ “สวมทะเบียน” หรือเปล่า
ซึ่งในทางการเมือง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อครั้งที่มีการยุบพรรคไทยรักไทย และมีการเกิดขึ้นของพรรคพลังประชาชน ที่มีการไปอาศัย “หัว” หรือ “ชื่อพรรคเดิม” ที่มีอยู่มาใช้ และเข้าใจกันว่าเป็น “ทางลัด” ในช่วงที่ต้องหาสังกัดใหม่ให้ได้ตามกฎหมายภายใน 60 วัน
อย่างไรก็ดี เมื่อเส้นทางเป็นแบบนี้ก็คงพูดไม่ได้เต็มปากนักในเรื่องอุดมการณ์ หรือหลักการทางการเมือง แต่หากบอกว่าเป็นการรักษาหรือต่อยอดความคิดของ “ใคร” บางคนนั้นอาจจะใช่ หรือในกรณีพรรคก้าวไกลที่ว่านี้หากจะบอกว่าเป็นการรักษาความเชื่อและความต้องการของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็อาจจะใช่ รวมไปถึงความเชื่ออีกว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ถูกกำหนดให้เป็นหัวหน้าพรรคมันก็ไม่ต่างจาก “หุ่นเชิด” หรือไม่
เพราะเมื่อพิจารณาตามศักยภาพแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้เชื่อว่าพวกเขาจะยืนได้ด้วย “ลำแข้ง”ตัวเอง !!