เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าสำหรับอดีตพรรคอนาคตใหม่และแกนนำพรรคคนสำคัญบางคน เช่น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรค มีหลากหลายอารมณ์ประดังเข้ามาพร้อมๆกัน โดยเฉพาะ นายธนาธร ซึ่งถือว่าเป็น “เจ้าของพรรค” ซึ่งเวลานี้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคไปแล้ว แต่ที่น่าจับตาก็คือเมื่อพรรคถูกยุบไปแล้วบรรดา ส.ส.ในพรรคที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองจำนวน 65 คนจะโยกย้ายกระจัดกระจายไปทางไหนกันบ้าง
เพราะหลังจากมีการยุบพรรคไม่นานในการแถลงข่าวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีด้วยได้กล่าวด้วยความเชื่อมั่นด้วยว่า บรรดา ส.ส.ที่เคยสังกัดพรรคอนาคตใหม่จะย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ในแบบ “ไปกันทั้งหมด” จะไม่มีการแตกแถวแน่นอน
ก่อนหน้านี้หลายคนมองว่าบรรดา ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่เหล่านี้น่าจะย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ที่มีการจดตั้งรองรับเอาไว้ล่วงหน้า หรืออย่างน้อยหากมีการแตกแถวออกไปก็น่าจะไปสังกัดกับพรรคฝ่ายค้าน
แต่ล่าสุดกลายเป็นว่า มี ส.ส.จากอดีตพรรคอนาคตใหม่ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยแล้วจำนวน 9 คน ขณะเดียวกันที่เหลือก็มีแนวโน้มจะย้ายไปสังกัดในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลพรรคอื่นอีกจำนวนหนึ่งด้วย ทำให้กลายเป็นว่าคำพูดของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มั่นใจว่าอุดมการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ไปในทางเดียวกัน นั่นคือไปไหนไปด้วยกันนั้นไม่เป็นความจริง
สิ่งที่น่าพิจารณากันต่อไปก็คือในที่สุดแล้วจะมี ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่จะเหลือไปสังกัดพรรคใหม่ภายใต้การนำของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้รับการมอบหมายจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้เป็นคนที่รับช่วงต่อ โดยมีการเตรียมการเพื่อรองรับเอาไว้จำนวนกี่คนกันแน่
แต่ถึงอย่างไรเมื่อมีจำนวนของ ส.ส.ที่ไหลออกมาจำนวนมากแบบนี้ และมีแนวโน้มถึงความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีไหลออกมาอีก ก่อนที่จะครบกำหนด 60 วันในการหาสังกัดพรรคใหม่ตามกฎหมายหลังจากมีคำสั่งยุบพรรคสังกัดพรรคเดิมไปแล้ว
อย่างไรก็ดีแม้ว่าในที่สุดแล้วมีการแตกตัวออกมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล จำนวน 9 คน จากทั้งหมดที่เหลือก่อนหน้านี้จำนวน 65 คน ก็ถือว่าเสียหาย เสียหน้าแล้วสำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่เคยย้ำอย่างหนักแน่นถึงอุดมการณ์เดียวกันไปไหนไปด้วยกัน นั้นไม่เป็นความจริงแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่เห็นในเวลานี้ก็คือ “คำด่าไล่หลัง” รวมไปถึงการกล่าวหาว่ามีการ “ซื้อตัว” ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่จำนวนสูงถึงรายละ 23 ล้านบาท แน่นอนว่านาทีนี้ไม่สามารถยืนยันได้เต็มร้อยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม หลังจากยื้อเอาไว้ไม่ได้แล้วหรือไม่
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงด้านตัวเลขสำหรับบางพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล อาจไม่มีความจำเป็นสำหรับการดึงตัวหรือ “ซื้อตัว” ส.ส.เข้ามาเพิ่ม หลังจากเมื่อสำรวจเสียงสนับสนุนของ ส.ส.ถือว่ารัฐบาล “พ้นปริ่มน้ำ” แล้ว อย่างน้อยเมื่อพิจารณาจากตัวเลขของจำนวนเสียงสนับสนุนของฝ่ายค้านลดลงอย่างน้อย 11 เสียงจาก ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคที่ต้องพ้นสภาพ ส.ส.ทันที
ทำให้จำนวนเสียงของฝ่ายรัฐบาลมีเสียง 263 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านมีแค่ 224 เสียง ห่างกันถึง 39 เสียง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจำนวน เสียงที่เห็นแบบนี้ ถือว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากรัฐบาลเสียง “ปริ่มน้ำ”แล้ว
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากสภาพตามความเป็นจริงในเวลานี้สำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือว่าหมดมนต์ขลัง ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หลังจากมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว อย่างน้อยไม่สามารถควบคุมหรือชี้นำบรรดา ส.ส.ที่เหลืออยู่ หลังจากมีอย่างน้อยในตอนนี้ 9 คน ที่ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยฝ่ายรัฐบาลแล้ว
จึงเป็นที่น่าจับตาว่าที่เหลือจะมีการย้ายไปสังกัดพรรคอื่นโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพราะนี่คืออาการของ “ผึ้งแตกรัง” ไม่ต่างจากหนีตายเอาตัวรอดนั่นแหละ !!