เมืองไทย 360 องศา
ต้องยอมรับว่า ผลจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สร้างแรงกระเพื่อมได้มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นฝั่งฝ่ายค้าน หรือ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านก็จะทำให้เสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านลดลงทันทีเหลือเพียง 224 เสียง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมีจำนวน 263 เสียง มีคะแนนห่างกันถึง 39 เสียง
ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตากันอีกว่า ส.ส.ที่เคยสังกัดพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 65 คน ที่ยังคงไม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปพร้อมกับพวก ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น จะต้องหาสังกัดพรรคใหม่ภายใน 60 วันนั้น พวกเขาจะไปทางไหน จะไปทางซีกพรรคฝ่ายค้าน หรือพรรคใหม่ในเครือของอนาคตใหม่ ที่มีวิธีการจัดหาเอาไว้รองรับไว้แล้ว หรืออีกด้านหนึ่งจะย้ายข้ามฟากมาทางฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าคงมีทั้งสองทาง ส่วนจะไปทางไหนมากน้อยกว่ากันค่อยมาว่ากันอีกที
แต่นาทีนี้เมื่อพิจารณาจากจำนวนคะแนนเสียงที่เป็นปัจจุบันที่เห็นอยู่ในเวลานี้ เสียงของฝ่ายรัฐบาลทิ้งห่างฝ่ายค้านอยู่จำนวนถึง 39 เสียง และมีแนวโน้มจะห่างออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากในจำนวน ส.ส.ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ อีกจำนวน 65 คน ยังมีแนวโน้มจะย้ายข้ามฟากมาอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ซึ่งไม่ว่าจะมาร่วมสังกัดพรรคใด ก็ถือว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล ยังถือว่ามาเพิ่มจำนวนเสียงสนับสนุนให้กับพรรคฝ่ายรัฐบาลอยู่ดี
ดังนั้น หากสรุปตามตัวเลขเท่าที่เห็นในปัจจุบัน ณ เวลานี้ นั่นคือ นับเฉพาะจำนวนลดลงของ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน โดยหักจากจำนวน ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคที่เป็น ส.ส.จำนวน 11 คน ก็ทำให้ลดลงทันที และจำนวนห่างออกไปดังกล่าว
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเท่าที่เห็น ก็ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นจากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำทันที อย่างน้อยเท่าที่เห็นตอนนี้ฝ่ายรัฐบาลมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านถึง 39 เสียง ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ต่อไปนี้เวลาโหวตในสภาไม่ต้องกังวลเสียงว่าจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายค้านเหมือนก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขดังกล่าวนี้ ยังส่งผลทางการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย เพราะที่ผ่านมา เมื่อรัฐบาลมีเสียง “ปริ่มน้ำ” และมีพรรคร่วมรัฐบาลมากถึง 19 พรรค มีพรรคการเมืองเล็กๆ จำนวนมากถึง 15 พรรค ทำให้ทุกพรรคแม้จะมีเสียงเพียงแค่เสียงเดียว ก็สามารถสร้างพลังการต่อรอง เรียกร้องได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วงเวลาโหวตกฎหมายสำคัญ จะได้เห็นบรรยากาศงอแงทางการเมืองอยู่บ่อยครั้ง
การมีเสียงปริ่มน้ำของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้บรรยากาศในแบบที่ส่อให้เกิดความวุ่นวาย และไร้เสถียรภาพมาตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ๆ เมื่อ 6-7 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าในระยะหลังบรรยากาศของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะเริ่มคลี่คลายลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากเกิดกรณีที่เรียกว่า “งูเห่า” มีเสียง ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้านโหวตสวนมติพรรคมาโหวตหนุนฝ่ายรัฐบาล หรือแม้แต่การงดออกเสียง แต่ก็ถือว่าเป็นการสวนมติพรรคดังกล่าวนั่นแหละ
โดยก่อนหน้านั้นไม่นาน ก็มี ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 4 คน ที่ถูกขับไล่พ้นจากพรรค และต่อมาก็แยกย้ายกันไปสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล หรือกรณีของพรรคอนาคตใหม่ที่ประกาศลาออกจากการทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน โดยมี ส.ส.ของพรรคจำนวน 5 ใน 6 คน ได้ย้ายข้ามฟากมาร่วมกับฝ่ายรัฐบาลแล้ว ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวที่ว่าทำให้รัฐบาลพ้นจากสถานะเสียงปริ่มน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี นาทีนี้เมื่อเสียงของรัฐบาลมากกว่าเสียงของฝ่ายค้านถึง 39 เสียง นอกจากพ้นจากสถานะ “ปริ่มน้ำ” แล้ว ยังทำให้บรรยากาศ “การต่อรอง” ในพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะจากพรรคขนาดเล็ก รวมไปถึงพรรคขนาดกลางบางพรรคต้องลดลงไปด้วย ที่สำคัญ ทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถดึงอำนาจการต่อรองกลับมาอยู่ในมือมากขึ้นกว่าเดิม อาการงอแง ตั้งแง่ในการโหวตแต่ละย่อมลดลงไป และมีแนวโน้มทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลแข็งแกร่งมากขึ้น
แต่ถึงอย่างไรเสถียรภาพของรัฐบาลคงไม่ได้ตายตัว โดยเฉพาะการมีเสียงสนับสนุนที่มีปริมาณมาก และจะทำให้เกิดความมั่นคง เพราะต้องมีองค์ประกอบอย่างอื่นเข้ามาด้วย นั่นคือ ภาวะผู้นำ ความซื่อสัตย์ มีประสิทธิภาพในการบริหารเป็นสิ่งสำคัญ แต่อย่างน้อยเมื่อมีเสียงมากกว่าฝ่ายตรงข้ามแบบนี้ย่อมต้องถือว่ามีแนวโน้มที่ดี และส่งผลต่อความเชื่อมั่นได้อีกทางหนึ่งแน่นอน !!