ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “บิ๊กแดง” ฝ่า Mission Imposible ปฏิบัติการสะท้านกองทัพ หากทำได้จะนำกองทัพสู่ยุคใหม่!
ดูเหมือนจะยังไม่จบง่ายๆ กรณี “ดรามาน้ำตาบิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก หลังจากถูกกระแสโซเชียลฯ แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากการร้องไห้ระหว่างแถลงเหตุการณ์กราดยิงโคราช เมื่อวันก่อน
แต่หากเปิดใจกว้าง ก้าวข้ามความดรามาในโลกโซเชียลฯ ถอยออกมามองในอีกมุมกับคำพูดระหว่างบรรทัดของ “บิ๊กแดง” ที่ว่า “จะใช้อำนาจหน้าที่จนถึงวันเกษียณ ทำทุกอย่างในการจัดระเบียบ ปฏิรูปกองทัพให้ลุล่วง” ตรงนี้กลับน่าติดตามสาระสำคัญยิ่งกว่ากระแสดรามา
ไล่เรียงดูตั้งแต่ที่เรื่องที่เป็นผลพวงของปฐมเหตุของเหตุเศร้าสลด “การเอารัดเอาเปรียบของผู้ใหญ่ กดขี่ทหารผู้น้อย” ลั่นวาจาจะจัดการกับฝูงเหลือบ ที่ทำธุรกิจนายหน้า ธุรกิจค้าขาย หาประโยชน์กับโครงการของกองทัพ คาดโทษต่อบรรดา “ผู้บังคับบัญชา” ที่มีข้อมูลเข้าข่ายว่ารังแกผู้น้อยจะโดนโทษอย่างจริงจัง
ต้องไม่ลืมว่า “ธุรกิจในค่ายทหาร” กรณี “จ่า” กับ “ผู้พัน” ครั้งนี้ เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งที่ยิ่งละลายยิ่งเห็นความอยุติธรรมของสังคมทหาร ที่มีมาชั่วนาตาปี
นี่เป็นเรื่องที่จะสร้างความเชื่อมั่น และลดความเหลื่อมล้ำภายในกองทัพให้กำลังพลอย่างไม่เคยมีมาก่อน!!
“บิ๊กแดง” ว่าต่อไปอีกกับการจะจัดการกับกรณีผลประโยชน์กองทัพบกดั้งเดิม อย่างสนามกอล์ฟ โรงแรม สถานที่พักตากอากาศ และสนามมวย ลงนามในเรื่องทรัพย์สินราชพัสดุกับกระทรวงการคลัง เพื่อจัดระเบียบ ทลายขุมทรัพย์ของขบวนการมาเฟียในกองทัพ นี่ก็แทบจะไม่เคยมี ผบ.ทบ. คนไหนจะกล้าแตะ
อย่างที่ ผบ.ทบ.ว่า หลายอย่างที่ทำแล้วไม่ได้โฆษณา หรือไม่ได้เล่น IG โพสต์เฟซบุ๊ก ให้โลกโซเชียลฯ ได้รับรู้ แต่ วิกฤตนี้ ไม่ควรลืมไปง่ายๆ เราควรหันมารักใคร่กลมเกลียวสามัคคีกัน หันหน้าเข้าหากัน มองผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก อย่ามุ่งแต่ คนนั้นดี คนนั้นเก่ง คนโน้นไม่ดี สิ่งไม่ดีก็ช่วยกันแนะนำแก้ไข
คำถามคือ เมื่อ “บิ๊กแดง” กล้าที่จะตั้งใจทำ หรือกำลังจะทำ เรื่องไหนทำดี ก็ต้องให้กำลังใจกันมิใช่หรือ
เรื่องที่ว่า ก็ล้วนเป็นเรื่องที่สังคมต้องการจะเห็นมิใช่หรือ
บางเรื่องเช่น “บ้านหลวง” เรื่องนี้ก็เรื่องใหญ่ “บิ๊กแดง” ว่า ทหารมีบ้านหลวงให้กำลังพลอยู่เพียงพอ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน เพื่อให้เก็บเงินไปหาบ้านหลังหนึ่งหลังจากเกษียณราชการ แต่ได้ขีดเส้นตายไว้ว่า เดือนกุมภาพันธ์นี้สำหรับผู้ที่เกษียณอายุราชการแล้วยังอาศัยอยู่ในบ้านหลวง หรือออกจากกองทัพบกไปอยู่หน่วยงานใด ก็ต้องออกไป!
นี่ก็เป็นการเริ่มต้น แก้ปัญหาที่หมักหมมมานานของกองทัพ ไม่มีใครเคยคิดจะทำ
เรื่องแต่ละเรื่องต้องบอกว่าไปกระทบกับวิถีสังคมอุปภัมภ์ มีผู้ได้ประโยชน์มานาน การปฏิรูปจะทำให้คนพวกนี้เสียประโยชน์ ต้องถือเป็นภารกิจที่โหด หิน แค่ไหน
บางภารกิจ ก็แทบจะเป็น Mission Imposible! การจะฝ่าไปถึงจุดหมายไม่ใช่งานง่าย
ถ้า “พล.อ.อภิรัชต์” ใช้เวลาก่อนจะเกษียณนี้ ทำได้อย่างที่พูดก็จะเป็นก้าวแรกที่นำกองทัพไปสู่ยุคใหม่
และแน่นอน การจะให้ “บิ๊กแดง” ดำเนินการได้อย่างราบรื่น ผู้หลักผู้ใหญ่ ทหารเกษียนทั้งหลาย โดยเฉพาะที่มีตำแหน่งในรัฐบาล หรือ ส.ว. ควรที่จะแสดงสปิริต นำร่องให้ดูก่อน มิเช่นนั้นก็เท่ากับว่าปล่อยให้ “บิ๊กแดง” โดดเดี่ยว อยู่คนเดียว!!
ท่านๆ ลุงๆ ทั้งหลาย จะให้ความร่วมมือช่วย “บิ๊กแดง” เข็นครกขึ้นภูเขาหรือไม่ ก็ต้องรอดูว่า “บิ๊กแดง” จะสร้างประวัติศาสตร์ได้หรือเปล่า
ในทางกลับกัน หากสักพักเรื่องเงียบไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องในค่ายทหาร จะยังคงอยู่ติดกับค่ายทหารต่อไป ให้กาลเวลามันกลบลบเลือนไป
ส่วนเรื่อง “เกรียนคีย์บอร์ด” ในโลกโซเชียลฯ ฟังว่า ผลพวง Terminal 21 ทำ “ลูก-ภริยา” ของบิ๊กแดง ต้องปิด IG ชั่วคราว ด้วยผลกระทบจากตัว ผบ.ทบ.เองก็ต้องบอกว่า ท่านก็รู้ดีว่ายิ่งตอบโต้ก็ยิ่งดรามา
เมื่อเชื่อมั่นว่า ทุกอย่างมาจากใจ สิ่งที่เขียนมาจากใจ ก็ปล่อยให้คนดรามา ตีว่าเป็น Emotionalบ้าง อะไรบ้าง ก็ปล่อยวาง ยอมรับแล้วเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นไปสู่ที่ตั้งใจจะสังคายนากองทัพให้เป็นผลงานที่ผู้คนจะต้องจดจำดีกว่า
“บิ๊กแดง” กับปฏิบัติการสะท้านกองทัพ เรื่องนี้จะสำคัญนัก! ... โปรดติดตามกันต่อไป
** ดรามาเรือสำราญ รับก็โดนด่า ไม่รับก็โดนด่า “หมอหนู” ยืนยันไม่ให้เทียบท่า เป็นทางผ่านให้นักท่องเที่ยวกลับประเทศ แต่พร้อมช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
กรณีเรือสำราญ “เวสเตอร์ดัม” ของบริษัท Holland America Line ซึ่งมีนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือกว่า 2,200 ชีวิต ที่ออกจากสิงคโปร์เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ขอเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เพื่อให้นักท่องเที่ยวขึ้นฝั่ง และขึ้นเครื่องบินกลับประเทศ หลังจากถูกฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น ปฏิเสธการเข้าเทียบท่ามาแล้ว ด้วยเกรงว่าคนในเรืออาจมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 19 หรือโควิด-19 (Covid-19)
ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ทางการไทยได้ยินยอมให้เรือสำราญลำนี้เข้าเทียบท่าที่แหลมฉบัง...ปรากฏว่ากระแสในโซเชียลฯ เข้ามาถล่มรัฐบาลกันเละเทะ ... โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ที่ดูแลกรมเจ้าท่า และ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข โดนหนักกว่าใคร ... เพราะเกรงว่าจะเป็นการนำเชื้อไวรัสโคโรนา เข้ามาแพร่ระบาดในไทยเพิ่มอีก แล้วใครจะรับประกันความปลอดภัย รัฐบาลจะรับผิดชอบไหวหรือ!
ทั้ง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ต้องรีบออกมาปฏิเสธว่าไทยไม่ได้ตอบรับให้เรือสำราญลำนี้เข้าเทียบท่าตามที่เป็นข่าว
คราวนี้ก็โดนถล่มอีก ทั้งเรื่องไม่มีมนุษยธรรม ไม่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่กำลังเดือดร้อน ... รวมทั้งเห็นว่าเป็นการเสียโอกาส ในด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว ...เพราะถ้าไทยรับไว้ และใช้มาตรการคัดกรองโรค คนที่ปกติก็ให้เดินทางกลับประเทศไป ใครที่มีอาการไข้ก็กักตัวไว้รักษา เพราะไทยมีชื่อเสียงในการป้องกัน สกัดการแพร่ระบาดของโรค อยู่ในลำดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว ...ถ้าทำอย่างนี้ทั่วโลกก็จะชื่นชมในความมีน้ำจิตน้ำใจ ความมีมนุษยธรรมของคนไทย...อยากมาท่องเที่ยวประเทศไทย ...แต่เมื่อรัฐบาลปฏิเสธไปเช่นนี้ถือว่า เสียโอกาสอย่างมาก
เจอดรามาเข้าอย่างนี้ “หมอหนู” ต้องรีบออกมาชี้แจงอีกรอบ...ว่ารัฐบาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ยืนยันว่าเรามีมนุษยธรรมต่อทุกฝ่าย รู้สึกเห็นอกเห็นใจ แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในประเทศด้วย เพราะเราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรือลำนี้เลย อีกทั้งบุคลากรก็มีจำกัด
เพราะหากมีการรับให้ขึ้นบก ก็ต้องมีการคัดกรอง กักตัวเพื่อรอสังเกตอาการอีก 14 วัน เป็นอย่างน้อย แล้วคนจำนวนมากขนาดนั้น เราจะเอาบุคลกรทางการแพทย์ ที่ไหนไปดำเนินการ ทั้งสถานที่กักตัว ทั้งด้านงบประมาณ
ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว อย่างกรณีเรือสำราญ “ไดมอนด์ ปรินเซส” ซึ่งเข้าเทียบท่าที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น และถูกสั่งกักกันโรคเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ยังมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 174 คนแล้ว
“เมื่อคืนวันที่ 11 กุมภาพันธุ์ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (ฮู) ได้โทรศัพท์มาถึงผม ยืนยันว่าทุกคนบนเรือสบายดี ไม่มีไข้ ขอให้ไทยรับดูแล แต่ผมยังไม่เชื่อ เพราะตัว ผอ.องค์การอนามัยโลกก็ไม่ได้อยู่บนเรือ และผมเชื่อว่าบนเรือไม่มีอุปกรณ์ตรวจยืนยันโรคไวรัสโคโรนา วันนี้ต้องยอมรับว่าเราไม่มีข้อมูลบนเรือมากเพียงพอ จะเอาข้อมูลแค่นี้มาตัดสินใจไม่ได้ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และบุคลากรเราเองก็มีจำกัด แล้วก่อนจะมาถึงไทย ผ่าน 3-4 ประเทศแล้ว ทำไมเขาถึงปฏิเสธ ... แต่ถ้าเขาทอดสมอในทะเลสากล และร้องขอความช่วยเหลือเข้ามา เช่น ต้องการอาหาร ยารักษาโรค น้ำมัน ของจำเป็นต่างๆ เราสามารถช่วยเหลือได้ หรือถ้ามีคนป่วยหนัก เราก็ยินดีให้การรักษาภายใต้ระบบควบคุมโรคระบาด แต่ไม่ใช่รับเข้าเทียบท่า แล้วใช้เป็นทางผ่าน”
“หมอหนู” ยังบอกด้วยว่า เท่าที่ทราบบนเรือลำนี้ยังมีคนสัญชาติอเมริกัน 700 กว่าคน แล้วทำไมทางสหรัฐอเมริกาไม่หาพื้นที่ที่เขามีอธิปไตยเหนือดินแดนเหล่านั้น อย่างเช่น กวม หรือเกาะต่างๆ ให้เรือเทียบท่า แต่กลับจะมาเลือกประเทศไทย... ทำไมไทยต้องมาแบกรับความกดดันตรงนี้!!
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า ทางประเทศกัมพูชาได้ตอบรับให้เรือเวสเตอร์ดัมเข้าเทียบท่าที่เมืองสีหนุวิลล์แล้ว ... แต่เชื่อเถอะว่าดรามาในเมืองไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่จบ!