“อนุทิน” เผย เรือสำราญเวสเตอร์ดัม ยังไม่ได้ขออนุญาตเข้าน่านน้ำไทย แต่ที่ยังหันหัวเรือมา เพราะอาจคิดว่าต้องหาที่ปลอดภัยก่อน ระบุ ปฏิเสธ WHO แล้ว หลังขอให้ไทยช่วยเหลือ เหตุยังไม่รู้ข้อมูลบนเรือ ยันไม่ให้เทียบท่าแหลมฉบังแน่ แต่พร้อมช่วยเหลือทางมนุษยธรรม เช่น ผู้ป่วย อาหาร น้ำ ยารักษาโรค หรือน้ำมันให้ไปต่อ ชี้ ไทยไม่ใช่จุดหมายปลายทาง ทำไมต้องมาแบกรับความกดดันดูแล ควรไปพื้นที่ที่อเมริกามีอธิปไตย เพราะมีคนอเมริกันบนเรือถึง 700 คน
วันนี้ (12 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสมาคมวิชาชีพเรือสำราญ ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเรือสำราญ “เวสเตอร์ดัม” ที่รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 19 หรือ โควิด-19 (Covid-19) ว่า เรื่องนี้ทุกอย่างต้องมีการพิจารณา ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ได้ชี้แจงว่า จะให้การพิจารณาด้วยความมีมนุษยธรรมต่อทุกฝ่าย แต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนในประเทศด้วย เพราะบุคลากรเราก็มีจำกัด และเรายังไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเรือลำนี้เลย นอกจากข้อมูลจากทางคนที่ติดต่อเข้ามา เช่น เอเยนต์ หรือเจ้าหน้าที่จากประเทศต่างๆ ว่า เรือนี้ปลอดภัย แม้แต่ ผอ.องค์การอนามัยโลก ก็โทร.มาหาตนกลางดึก แล้วบอกว่าในเรือทุกคนสุขภาพดี มีคนไทยด้วย ขอให้เรารับเทียบท่า ซึ่งข้อมูลแค่นี้ยังไม่เพียงพอ ต้องมีอะไรยืนยันที่ชัดเจนกว่านี้ แม้บนเรือจะมีหมอ แต่คนบนเรือมีมากกว่า 2,200 ชีวิต ถามว่ามีใครกล้าพูดหรือไม่ว่าไม่มีโคโรนา เพราะบนเรือก็ไม่มีน้ำยาพิสูจน์เชื้อทางแล็บ จะบอกรออยู่ 14 วันแล้ว ไม่มีคนมีไข้ ข้อมูลแค่นี้ยังไม่เพียงพออนุญาตให้เทียบท่าได้ ซึ่งตนก็ได้ปฏิเสธ ผอ.องค์กรอนามัยโลก ไปแล้วหากจะให้เทียบท่าเลย
“ประเทศไทยเป็นท่าสำรอง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินก็มีสิทธิที่จะขอเข้ามา แต่จะให้ไม่ให้ก็เรื่องของเรา ซึ่งการจะขอเข้าน่านน้ำไทยต้องแจ้งเข้ามาก่อน 24 ชั่วโมง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งเข้ามา อย่างไรก็ตาม หากถึงเวลาจริงๆ แม้เราไม่อนุญาตก็อาจหันหัวเรือมา เพราะกัปตันอาจตัดสินใจว่าต้องมาหาที่ปลอดภัยก่อน เพราะน้ำมันจะหมด อาหาร น้ำจะหมด ซึ่งหากเจอพายุก็หนักเข้าไปอีก เพราะหากเรือไม่เดินเครื่อง ก็จะดันกับคลื่นไม่ได้ก็ล่ม เป็นหลักธรรมชาติที่เราห้ามไม่ได้ แต่คือเทียบท่าและลงจากเรือไม่ได้แน่นอน เพราะเราไม่อนุญาต ทั้งนี้ ถ้าเข้ามาแล้วลงไม่ได้ ก็อาจขอทอดสมออยู่นอกน่านน้ำไทย แต่ก็มีสิทธิขอรับความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมได้ เราคงไม่ปล่อยให้คนตายโดยที่รู้แล้วไม่ทำอะไร” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า การดูแลช่วยเหลือตามมนุษยธรรม เช่น หากมีคนป่วย มีความต้องการด้านอาหาร ยารักษาโรค น้ำมันที่ต้องการเดินทางต่อไปยังประเทศถัดไป ก็จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือ ถ้ามีผู้ป่วยหนักจริงๆ ก็ต้องนำเข้ามารักษา แต่ก็มีวิธีการเหมือนการกักกันโรคควบคุมโรคอู่ฮั่น สวมชุดอวกาศไปรับมา แล้วรักษาในเขตปลอดโรค คงไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำ แต่คงไม่ไม่ใช่มาถึงเทียบท่าแล้วลงมาเลย แล้วต่อไปประเทศที่ 3 โดยไม่มีการกักกันหรือทำอะไรเลยคงไม่เกิดแน่นอน เพราะถ้าปล่อยอยู่ในเรือก็อาจแพร่ไป 2 พันคน ก็ยิ่งยุ่ง ไปไหนก็ไม่ได้
“สิ่งสำคัญ ประเทศไทยไม่ใช่ที่หมายของเรือลำนี้ เขาเป็นเรือสำราญที่ล่องอยู่ เท่าที่ทราบ คือ ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น พอทุกที่ปฏิเสธเรือเทียบท่า ก็ผ่านไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม กัมพูชา กว่าจะมาถึงไทย ทำไมไทยต้องมานั่งแบกรับความกดดันตรงนี้ เราก็ต้องดูว่า ทำไมประเทศอื่นไม่รับ ทำไมต้องเป็นเรา แต่ว่าตรงไหนที่เราสามารถให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้ก็ไม่ลังเล และต้องดูว่าเราจะให้การดูแลได้มากน้อยแค่ไหน เราไม่ต้องการที่จะเป็นเจ้าภาพรับทุกอย่างทั้งที่ประเทศอื่น คนของเขา อย่างที่มีการบอกว่าลำนี้มีสัญชาติอเมริกัน 700 คน ไปที่ที่ประเทศอเมริกามีอธิปไตยได้หรือไม่ เช่น กวม หรือเกาะต่างๆ ที่มีอยู่ ถ้ารับตรงนี้ได้ เราก็สนับสนุนให้เขาไป ส่วนคนไทยเราก็ต้องดูแลเต็มที่เป็นพิเศษ แต่เท่าที่ทราบคือ 19 คน เป็นลูกจ้างของเรือลำนี้ ก็ต้องมีสัญญาเงื่อนไขอะไรที่จะทำกับนายจ้างอยู่แล้ว หวังว่า ยังไม่มีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น” นายอนุทิน กล่าว