ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ล้างบางขบวนการนายกดขี่ผู้น้อย ธุรกิจในค่าย งานใหญ่กว่าดรามาน้ำตาของ”บิ๊กแดง”
ภาพ“บิ๊กแดง”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ร่ำไห้เสียใจ และขอโทษประชาชนต่อเหตุกราดยิงที่โคราช ระหว่างการแถลงข่าว และถาม-ตอบ กับสื่อเกือบๆ สองชั่วโมง กลายเป็นกระแสดรามาบนโลกโซเชียลฯ
ชาวเน็ตแสดงความรู้สึกผ่านสื่อสังคมอย่างไรคงเห็นกันแล้วตลอดทั้งวัน ป่วยการที่จะโต้กันไป โต้กันมา ด่าว่ากัน วิพากษ์วิจารณ์ ตั้งแต่เรื่องการแต่งกาย ไล่ไปถึงเรียกร้องให้ ผบ.ทบ. ลาออก รับผิดชอบ
ต้องยอมรับว่า หลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง นำมาซึ่งความเสียใจและอาลัยต่อผู้ได้รับผลกระทบมากว่า 3 วันแล้ว สิ่งที่สังคมจับจ้อง และ รอคำฟังจาก ผบ.ทบ. คงไม่ใช่แค่ "คำขอโทษ" หรือ สรุปภาพรวมของเหตุการณ์ แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องแก้ไข ทั้งกรณีมาตรการป้องกันที่หละหลวม และ ปม “ธุรกิจในค่ายทหาร”ที่ผู้บังคับบัญชาเอารัดเอาเปรียบผู้น้อย ที่เป็นชนวนของเรื่องเลวร้ายครั้งนี้
คำถามคือว่า "บิ๊กแดง" จะปฏิรูปกองทัพอย่างไร ให้เรื่องเหล่านี้ไม่เกิดซ้ำ หรือขจัดให้สิ้นซาก จึงจะเปลี่ยนน้ำตาจากความเสียใจ ให้เป็นพลังได้ !!
เรื่องมาตรการป้องกัน ผบ.ทบ. รับปากจะพยายามจะดูแลคลังอาวุธของหน่วยทหารให้ดีขึ้น จะไปทบทวนเพิ่มมาตรการให้มากขึ้น แต่ก็ยืนยันว่า มาตรการเดิมที่ทำอยู่นั้นอยู่ในระดับมาตรฐาน และผู้ก่อเหตุก็เป็นกำลังพลในหน่วย เป็นเพื่อนร่วมงานที่เดินเข้ามาก็ไม่คิดว่าเขาจะมาทำร้าย ก็เป็นจุดหนึ่งที่กองทัพบกต้องไปคิดเช่นเดียวกัน เพราะไม่ได้เฉลียวใจว่า คนที่รู้จักจะก่อเหตุ ตรงนี้ก็รอดูกันต่อไป ว่าจะเป็นอย่างไร
ส่วนเรื่องของ“ธุรกิจในค่าย”ที่ผู้บังคับบัญชาหากิน กดขี่เอากับทหารชั้นผู้น้อย ว่าด้วย“โครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักเพื่อขายให้ทหาร”ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างผู้ก่อเหตุ "จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา" กับ "พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแส" ผู้บังคับกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 กองทัพภาคที่ 2
นี่ละ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง”ที่แท้จริงที่เคยว่าไปแล้ว
มีข้อมูลล่าสุดมาว่า จ่าถูกเบี้ยวเงินส่วนต่างค่าบ้าน 375,100 บาท และค่านายหน้าอีก 50,000 บาท ที่ช่วยแนะนำลูกค้า คิดรวมๆแล้วก็ 4 แสนเศษ โดยมีหลักฐานว่า จ่ากู้เงินมาซื้อบ้านของโครงการ 1,125,000 บาท โดยมีค่าก่อสร้าง 750,000 บาท
ว่ากันว่าก่อนเกิดเหตุ "คนร้าย" เครียดมาเป็นเดือน ไปทวงเงินคืนจาก"ผู้พัน" สองหน ถามต่อหน้าว่า “ตายแล้วจะเอาเงินไปใช้ได้หรือ”เคยโดนขัง โดนเวร โดนหักเบี้ยเลี้ยง 240 เหลือให้วันละ 100 พอออกจากที่คุมขัง ก็โดนกักบริเวณอีก จนเครียดสะสม และ“จนตรอก”
กรณีของผู้ก่อเหตุ นอกจากจะเป็นลูกน้องของผู้พัน ยังเป็นนายหน้าหาลูกค้ามาซื้อที่ดิน มีข้อตกลงรับเงินค่านายหน้าเป็นครั้งๆ ซึ่งการขายที่ดิน ทั้งกระบวนการผู้เกี่ยวข้องทั้ง นายหน้าและลูกค้า จะเป็นทหารทั้งหมด เนื่องจากที่ดินและบ้านจัดสรรที่ขาย เป็นที่ดินที่จัดสรรไว้ให้ทหารอยู่
ว่ากันอีกว่า มีกำลังพลที่เป็นทหารชั้นผู้น้อยอีกหลายราย ที่มีสภาพแบบเดียวกันนี้
ทหารชั้นผู้น้อยถูกโกงเงินคล้ายกับผู้ก่อเหตุ มีทั้งแบบที่หักเบี้ยเลี้ยงจาก 240 บาท เหลือวันละ 100 บาท และโกงเงินค่านายหน้าขายที่ดิน เนื่องจากครอบครัวนายพัน ทำธุรกิจค้าที่ดินและบ้านจัดสรรให้ทหาร
เรื่องนี้ "บิ๊กแดง" ควรต้องจัดการให้กระจ่าง สอบให้ชัดว่าจริงเท็จ เป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า โครงการบ้านจัดสรรปกติแล้วเป็นเรื่องที่ดี เพราะต้องการให้ข้าราชการผู้น้อยมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ต้องไปดูว่า ที่ทำมามีปัญหาตรงไหน มีการไปหาประโยชน์ตรงจุดไหน โกงกันตรงไหน เอารัดเอาเปรียบกันแค่ไหน อย่างไร
ในการแถลงข่าว "บิ๊กแดง" ระบุว่า พร้อมจะใช้อำนาจของ ผบ.ทบ. จนวันสุดท้ายที่อยู่ในตำแหน่ง เพื่อปราบขบวนการนายหน้า อย่างปัญหาการซื้อขายบ้านสวัสดิการทหารที่เกิดขึ้น ที่มีการวิ่งเต้นกัน ซึ่งไม่อยากจะสาธยายมาก แต่มีข้อมูลไว้หมดแล้ว...
ภายในเดือนเมษายนนี้ ตั้งแต่นายพล ยันพันเอก หลายคน จะไม่มีงานทำอย่างแน่นอน !!
"บิ๊กแดง" เองที่ลั่นวาจาว่า รู้เรื่องพวกนี้ดี เพราะเติบโตมากับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และหลายอย่าง ก็ได้รายงานต่อ"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้รับทราบแล้วว่า "จำเป็นจะต้องจัดการ"
ยังไงๆ เรื่องนี้ ถ้าจะให้ดี ผบ.ทบ. ลุยสอบด้วยตัวเองจะยิ่งดี เรื่อง สังคมออนไลน์จะดรามาก็ปล่อยไว้ในโลกโซเชียลฯ ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริง กำลังพลของกองทัพที่เป็นผู้น้อยรอคอยจะได้รับคุณูปการจากผลงานของท่านไปเต็มๆ
“พี่ครับ ผมต้องทำ”เป็นคำที่ ผบ.ทบ. ว่าไว้กับ"บิ๊กตู่" นี่ละเป็นงานใหญ่ที่ "บิ๊กแดง"ต้องทำให้สังคมเห็นมากกว่า.
** "ชวน" หนักใจ เลขาสภาฯ ขอถอนตัวเรื่องเป็นกรรมการสอบเอาผิด ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน ...ก็ข้าราชการสภาฯ ที่ไหนจะกล้าไปสอบส.ส.
กรณีเสียบบัตรแทนกันในการโหวต ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ที่ "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแฉว่า มี 2 ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้อยู่ในที่ประชุม โดย "ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ส.ส.พัทลุง ไปเปิดงานวันเด็ก ที่ จ.พัทลุง ขณะที่ "นาที รัชกิจประการ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ เดินทางไปจีน แต่กลับมีการลงคะแนนเสียง...นั่นแสดงว่ามีการ "เสียบบัตรแทนกัน"
หลังจากนั้นยังมีคลิป ที่สื่อนำออกมาแฉเพิ่มเติมว่า ยังมีกรณีของ นายสมบูรณ์ ซารัมย์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย และ น.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ก็มีการเสียบบัตรแทนกันด้วย จนนำไปสู่การยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 63 ซึ่งขณะนั้นผ่านขั้นตอนของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา ไปแล้วนั้น โมฆะหรือไม่
ซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ไม่เป็นโมฆะ ... เพียงแต่ต้องกลับไปพิจารณาในวาระ 2 และวาระ 3 กันใหม่ เนื่องจากการเสียบบัตรโหวตแทนกัน อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ในวาระ 2 เป็นอันว่า ปัญหา เรื่อง พ.ร.บ.งบฯ 63 เป็นอันได้ข้อยุติว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
ส่วนเรื่องการเสียบบัตรแทนกันนั้น เป็นเรื่องที่สภาผู้แทนฯ ยังต้องสอบสวนกันต่อไป เพราะตามรัฐธรรมนูญแล้ว ส.ส.ทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากันในการลงคะแนน และตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนฯ ระบุว่า การออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้...โดย "พรเพชร วิชิตชลชัย" ประธานวุฒิสภา เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า ความผิดกรณีนี้มีโทษทั้ง"ทางวินัย และอาญา"
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะให้ใครเป็นผู้สอบ เพื่อเอาผิดส.ส. ที่เสียบบัตรแทนกัน ...เพราะตามที่มีการนำเรื่องออกมาแฉทั้งจากส.ส.ฝ่ายค้าน และจากสื่อนั้นมี ส.ส.ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยถึง 8 คนด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่ "นิพิฏฐ์" นำเรื่องนี้ออกมาแฉนั้น "ชวน หลีกภัย" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้ "สรศักดิ์ เพียรเวช" เลขาธิการสภาฯ ไปทำการตรวจสอบ ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า มีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันจริง...แต่พอจะให้ เลขาธิการสภาฯ ตรวจสอบเพื่อสอบสวนเอาผิดกับส.ส. ที่อยู่ในข่ายว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน ทางเลขาธิการสภาฯ กลับขอถอนตัว
ก็เลขาธิการสภาฯ และเจ้าหน้าที่ของสภาฯเป็นข้าราชการ ใครจะไปกล้าตรวจสอบเพื่อเอาผิด ส.ส.
ดังนั้น "ชวน หลีกภัย" จึงเล็งไปที่ "คณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร" ซึ่งตั้งมาจาก ส.ส.ด้วยกัน เป็นผู้สอบสวนเรื่องนี้ โดยไปหารือกับ "อนันต์ ผลอำนวย" ประธานกรรมาธิการกิจการสภาฯ แล้ว โดยบอกว่าจะนำข้อมูลที่เลขาธิการสภาฯ มีอยู่ในมือแล้วมามอบให้ ...แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน จากประธานกรรมาธิการกิจการสภาฯ ว่าพร้อมที่จะตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่
ส่วนถ้าการตรวจสอบแล้วพบว่ามีการกดบัตรแทนกันจริง อย่างชัดเจน ก็ต้องส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พิจารณาต่อไป
ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ใครจะเป็นผู้มารับ "เผือกร้อน" ในการตรวจสอบเรื่องนี้ และ เมื่อตรวจสอบแล้วผลจะออกมาอย่างไร... ถ้าผิด จะมี ส.ส.ผิดกันกี่คน