xs
xsm
sm
md
lg

สภาฯถกไม่จบ ตั้งกมธ.ต้านรัฐประหาร "ปิยบุตร" จี้ผิดอาญาระหว่างประเทศ-ประหาร

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประชุมสภาฯ ไม่จบมติตั้งกมธ.ต้านรัฐประหาร "ปิยบุตร" ชี้วงจรอุบาทว์สิงสถิตจนปชช.ชาชิน ควรกำหนดเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ โทษประหาร ส.ส.ภท.ระบุปชต.ไร้ธรรมภิบาลก็เลวร้ายไม่แพ้กัน “เทพไท”ชี้ตั้งไปไร้ประโยชน์ เป็นสันดานคน

วันนี้ (6ก.พ.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ได้มีการพิจารณาญัตติการตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารเกิดชึ้น อีกในอนาคต จากการเสนอของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่

ทั้งนี้นายปิยบุตรกล่าวว่า 88 ปีในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยมีการรัฐประหาร13 ครั้ง หรือทุก6 ปี จะมีรัฐประหาร 1ครั้ง ข้ออ้างการทำรัฐประ หารจะเป็นเรื่องเดิมๆคือ รัฐบาลมีพฤติกรรมบ่อนทำลายสถาบัน การทุจริตของรัฐบาล การขัดแย้งกับกองทัพ การรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์ที่สิงสถิตในประเทศไทยจนประชาชนรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นยาสามัญประจำบ้าน เวลาที่เกิดวิกฤตก็ไปเรียกรัฐประหารออกมา ทั้งที่ถือเป็นอาชญากรสูงสุดของประเทศ เป็นการตัดตอนพัฒนาประชาธิปไตย มีผล กระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะรัฐประหารปี2557 ที่สร้างผลประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ ดังนั้นการรัฐประหารจึงไม่ได้เข้ามาปราบโกงทุกครั้ง แต่เมื่อรัฐประหารจากไป จะมีปัญหาทุจริตตามมา การรัฐประหารจึงไม่ใช่เครื่องมือปราบโกง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้นายทหารเข้ามาครองอำนาจ ทุจริตคอร์รัปชัน ถือเป็นการคอร์รัปชันรูปแบบใหม่ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

นายปิยบุตรกล่าวว่า การตัดตอนรัฐประหารมีหลายวิธีได้แก่ 1.การปฏิรูปกองทัพให้สอดคล้องประชาธิปไตย ต้องให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร ไม่ใช่ทหารขี่คอรัฐบาลพลเรือน 2.มาตรการทางกฎหมาย ให้ระบุลงไปประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ว่า ประชาชนเป็นผู้เสียหายจากการกบฏ เพื่อมิให้ศาลบอกว่า ประชาชนไม่ใช่ผู้เสียหายเมื่อมีการไปดำเนินคดีกับผู้ทำรัฐประหาร รวมถึงให้ระบุในรัฐธรรมนูญว่า ห้ามตุลาการยอมรับการทำรัฐประหารเป็นรัฐฏาธิปัตย์ ตลอดจนให้มีการรองรับอำนาจปวงชนชาวไทยในการต่อต้านรัฐประหาร นอกจากนี้ต้องนำตัวผู้ทำรัฐประหารมาลงโทษ เมื่อกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ เหมือนอย่างที่หลายประเทศทำมาแล้วได้ผล ถ้าไทยทำได้จะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก

นอกจากนี้ควรกำหนดให้ความผิดต่อมวลมนุษยชาติเป็นความผิดอาญาระหว่างประเทศ ต้องนำตัวไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ หากไปเข่นฆ่าประชาชน แม้จะนิรโทษกรรมให้ตัวเอง แต่ก็ไม่รอดพ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ใครที่คิดจะปราบปรามประชาชนจะทำไม่ได้ แต่ประเทศไทยไม่ให้ให้สัตยาบันในการรับรองศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันรัฐประหารไม่ใช่เรื่องมาตรการกฎหมายและการปฏิรูปกองทัพ แต่คือการปลุกจิตสำนึกประชาชน นักการเมือง ข้าราชการว่า หากมีการยึดอำนาจให้ประชาชน นักการเมือง ข้าราชการ พร้อมใจกันต่อต้าน และต้องขจัดมายาคติว่า รัฐประหารคือยาวิเศษ แต่คือความผิดที่ต้องช่วยกันต่อต้าน เพื่ออนาคตลูกหลานและประเทศ

อย่างไรก็ตามสมาชิกฝ่ายค้านส่วนใหญ่ต่างอภิปรายสนับสนุนญัตติดังกล่าว โดยเห็นว่าที่ผ่านมาการรัฐประหารไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตที่มักนำมาอ้างเป็นเหตุผลในการก่อรัฐประหารได้ และยังทำให้บ้านเมืองเสียหายความเจริญล้าหลังประเทศเพื่อนบ้าน จึงควรให้มีการกำหนดในข้อกฎหมายให้ใครที่ก่อรัฐประหารต้องมีความผิดขั้นประหารชีวิต

ขณะที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอภิปรายคัดค้านโดยอ้างว่าไม่สามารถป้องกันได้ เพราะโดยปกติการก่อรัฐประหารจะเกิดขึ้นทันที โดยฝ่ายการเมืองไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้และหลายเรื่องสามารถทำสำเร็จได้จากการทำรัฐประหาร

นายสนอง เทพอักษรณรงค์ ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยและรังเกียจการก่อรัฐประหาร แต่อยากให้มองให้รอบด้าน ต้องยอมรับก่อนรัฐประหารสังคมไทยเราไม่สงบเรียบร้อยเดินต่อไม่ได้ หากจะศึกษาการป้องกันการปฏิวัติแล้วต้องศึกษาคนที่ใช้อำนาจทางการเมืองด้วยว่ามีการใช้อำนาจเกินเลยไปหรือเปล่า ถูกต้อง มีธรรมาภิบาลหรือยัง ถ้าการเมืองเราไม่เปิดประตูให้ โดยทำงานอย่างซื่อสัตย์ ประชาชนอยู่ดีมีสุข เชื่อว่าไม่มีใครมาปฏิวัติได้เพราะต้องมีประชาชนมาต่อต้านไม่ใช่เอาดอกไม้มามอบให้อย่างที่เห็น ซึ่งหากจะมีการตั้งกรรมาธิการต้องศึกษาให้รอบด้าน

“อย่ามีความคิดทางลบว่าการปฏิวัติรัฐประหารจะชั่วร้าย บางครั้งการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ขาดธรรมาภิบาล ใช้เกินขอบเขตจะสิ่งร้ายกว่า เพราะสังคมเรียนรู้มามากแล้ว”

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่สนับสนุนให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ว่า เป็นความจริงว่ารธน.ทุกฉบับเขียนป้องกันรัฐประหาร และมีบทลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต แต่เมื่อดูประวัติศาสตร์การเมืองไทยตั้งแต่2475 เป็นต้นมา มีการปฏิวัติถึง13 ครั้ง มีการเป็นกบฏหรือปฏิวัติไม่สำเร็จ 13 ครั้งเช่นกัน การจะตั้งญัตติเพื่อศึกษาป้องกันการก่อรัฐประหารจึงเสียเวลาเปล่า เพราะเหมือนดีเอ็นเอของไทย จะเขียนอย่างไรก็มีคนฉีก และสถาปนาตนเองเป็นรัฎฐาธิปัตย์ และไม่สามารถให้ใครตรวจสอบได้ และคนที่ทำการรัฐประหารไม่สำเร็จโดยเปลี่ยนมาเป็นกบฏใน 13 ครั้ง ก็ไม่มีใครถูกลงโทษตามรัฐธรรมนูญเลย ส่วนใหญ่รัฐบาลนิรโทษกรรมให้ บางส่วนหนีไปต่างประเทศ สุดท้ายก็กลับมา มีเพียงครั้งเดียวที่กบฏถูกประหารชีวิต คือกบฏ26มีนา 2520

นายเทพไทกล่าวว่าหากดูสาเหตุของการปฏิวัติมี4 สาเหตุใหญ่คือ1 อ้างนักการเมืองเลวร้าย 2.ประชาชนเรียกร้อง 3.นายทหารอยากได้อำนาจ และ4.อ้างดวงเมือง โดยรูปแบบปฏิวัติมีทั้งใช้กำลัง ปฏิวัติเงียบ ปฏิวัติตัวเอง และปฏิวัติไม่ใช้กำลังคือของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นการพัฒนารูปแบบในไทย โดยสาเหตุที่ชัดเจนที่สุดในสมัยคมช.ที่อ้างว่าประชาชนแตกแยก จาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง แทรกแซงองค์กรอิสระ ทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งสิ่งที่จะป้องกันได้คือต้องปฏิรูปกองทัพ ลดโครงสร้างให้เล็กลง ให้การศึกษาจิตสำนึกประชาธิปไตยโดยบรรจุไว้ในหลักสูตร์โรงเรียนเตรียมทหาร นักการเมืองต้องปรับตัว และปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนต่อต้านไม่เห็นดีเห็นงามกับการรัฐประหารเพราะกระทบสิทธิเสรีภาพ ไม่มีใครแก้ปัญหาความเดือดร้อน ไม่มีการลงทุนด้านเศรษฐกิจการลงทุน และการตรวจสอบการถ่วงดุลย์อำนาจ

“ผมไม่เห็นด้วยกับการตั้งกรรมาธิการชุดนี้ เพราะเชื่อมั่นว่าระบอบประชาธิปไตยย่อมดีกว่าเผด็จการทุกรูปแบบ และไม่มีประเทศไหนที่เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าด้วยการปกครองรูปแบบเผด็จการ เพราะผมเชื่อว่ารัฐประหารเป็นเรื่องของคนบ้าอำนาจ ภาษาการเมืองเป็นวงจรอุบาทว์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า vicious circle ภาษาราชการเรียกว่านิสัยอันถาวร ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเป็นสันดาน”นายเทพไทกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสมาชิกให้ความสนใจร่วมอภิปรายแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งสนับสนุนและคัดค้าน จนเมื่อเวลา 17.35 น. นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมได้เห็นว่ายังมีสมาชิกอภิปรายอีกหลายคน จึงขอเลื่อนไปพิจารณาต่อสัปดาห์หน้า พร้อมสั่งปิดประชุมทันที
























กำลังโหลดความคิดเห็น