เมืองไทย 360 องศา
ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจากการประสานงานและหารือร่วมกันระหว่างคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านและรัฐบาล(วิป) ว่าจะมีการอภิปราย ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในวาระที่ สอง และสาม วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท หลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯพิจารณาเสร็จแล้ว เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 8 และวันที่ 9 มกราคม และยืดหยุ่นวันอภิปรายในวันที่ 10 มกราคม เพิ่มเติมหากมีเวลาไม่พอ ซึ่งก็คงเป็นไปตามนั้น
แม้ว่ากรรมาธิการที่เป็นฝ่ายค้าน จะมีการสงวนคำแปรญัตติเอาไว้จำนวนมาก ตามที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กล่าวเอาไว้ระหว่างการประชุมสภาฯ ในตอนเช้าวันที่ 8 มกราคม ซึ่งเป็นการประชุมวันแรกว่า จะต้องโหวตกันตั้งแต่ มาตรา 1 เป็นต้นไป ราว 50 มาตรา ทีเดียว
แน่นอนว่าระหว่างนั้นจะต้องมีการอภิปรายทั้งจาก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายค้าน การชี้แจงของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร ทำให้มั่นใจว่า ในที่สุดแล้วก็ต้องใช้เวลาในการอภิปรายถึง 3 วัน คือคาดว่าไปสิ้นสุดในวันที่ 10 มกราคม ตามที่กำหนดการขยายเวลาออกไปดังกล่าว
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณครั้งนี้ งบประมาณที่ถูกกรรมาธิการฝ่ายเสียงข้างน้อย คือจากฝ่ายค้านพุ่งเป้าขอปรับลด หรือตัดออกไปส่วนใหญ่จะเป็นงบประมาณของกระทรวงกลาโหม หรือ“งบกองทัพ”นั่นเอง โดยอ้างว่าเป็นการตั้งงบประมาณเกินความจำเป็น หรือตั้งงบเอาไว้สูงเกินจริง และมีการสงวนคำแปรญัตติเอาไว้เพื่อนำมาอภิปรายในที่ประชุมสภาฯ
แม้ว่านี่คือขั้นตอนตามระบบรัฐสภาแบบถ่วงดุลที่ฝ่ายค้านสามารถดำเนินการได้ไม่ผิดกติกา เพียงแต่ว่าการขอปรับลด หรือตัดงบประมาณของกองทัพในลักษณะแบบนี้ มองในมุมการเมืองมันก็ใช่ และเมื่อพิจารณาจากบรรดาส.ส.ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะจากพรรคอนาคตใหม่ และพรรคเพื่อไทยบางคน ที่วิพากษ์วิจารณ์บรรดาผู้นำกองทัพมาอย่างรุนแรง รวมไปถึงการเสนอนโยบายบางอย่าง เช่น การ “ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร”โดยใช้ระบบการรับสมัครแทน เป็นต้น
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว มันก็ย่อมถูกมองว่าฝ่ายค้านมีเจตนายั่วยุผู้นำกองทัพ รวมไปถึงได้ฉวยจังหวะในการอภิปราย วิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณของกองทัพโดยอาจวิจารณ์การตั้งงบประมาณจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันและอนาคต
แน่นอนว่า นี่คือแทกติกในการอภิปราย ใช้สิทธิในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายงบประมาณของกองทัพได้อย่างสมเหตุสมผล รวมไปถึงอาจได้กระทบชิ่งพาดพิงไปทั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งดังกล่าวอยู่ด้วย
แม้ว่าในความเป็นจริงการอภิปรายในคำสงวนคำแปรญัตติของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงมติของคณะกรรมาธิการได้ และส่วนใหญ่ก็มีการพิจารณาลงมติในชั้นกรรมาธิการเสร็จเรียบร้อยแล้ว คงไม่อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือสามารถโน้มน้าวให้ ส.ส.ในสภาลงมติเห็นคล้อยตามได้ เมื่อพิจารณาจากวิธีการที่เคยเป็นมาในอดีต
หากพิจารณากันอย่างเข้าใจก็มองออกได้ไม่ยากว่า นี่คือการใช้จังหวะในการอภิปราย ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำกองทัพ หรือประเภทฉวยโอกาส “ด่า”ผู้นำกองทัพบางคน เช่น “บิ๊กแดง”พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก อะไรประมาณนั้น
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ยังเป็นการใช้โอกาสนี้ในการ “ซ้อมใหญ่”การอภิปรายก่อนที่การยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นรายบุคคลกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า โดยคาดว่าจะเป็นปลายเดือนนี้
ดังนั้น เมื่อพิจารณากันตามรูปการณ์ ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงสนับสนุนของฝ่ายรัฐบาลที่มีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงยังไม่มีบรรยากาศกดดันที่ทำให้ ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณฉบับนี้ต้องตกไปไม่ผ่านวาระ 3 จนทำให้นายกรัฐมนตรีต้องลาออก หรือยุบสภาฯ แต่อย่างใด ทำให้มองเห็นเค้าลางบรรยากาศคงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนัก
อย่างมากก็เป็นแค่การ “ซ้อมการซักฟอก”ฉวยจังหวะวิจารณ์ผู้นำกองทัพ แบบโชว์ให้เด็กมันดูแค่นั้นเอง !!