“ประวิตร” นั่งหัวโต๊ะประชุมฝ่ายความมั่นคง เตรียมความพร้อมดูแล ปชช.ช่วงปีใหม่ กำชับไม่ประมาท เข้มงานการข่าว แผนเผชิญเหตุ จับตากลุ่มเสี่ยงทั้งใน-นอกประเทศ-จชต. ย้ำ ตร.เข้มบังคับใช้ กม.7 วันอันตราย หวังลดการสูญเสีย
วันนี้ (16 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลัง ประชุม VTC กับฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมมาตรการลดอุบัติเหตุบนท้องถนนและดูแลความปลอดภัยประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ต่อเนื่องกันไป ว่าการประชุมในวันนี้เนื่องจากเราต้องการไม่ให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตและกำชับหน่วยงานได้เตรียมการดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินของประชาชนในทุกๆ เรื่องทั้งโครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ การประชุมวันนี้เป็นการประชุมทั้งประเทศ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วมประชุมทางไกลซึ่งได้กำชับให้ดูแลในทุกๆ เรื่องโดยเฉพาะให้เปรียบเทียบตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุและการสูญเสียในปี 2563 ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่
พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาเรื่องการนั่งท้ายรถกระบะนั้นก็ขึ้นอยู่กับประชาชนที่จะให้ความร่วมมือหรือไม่เพียงแต่ เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว ในขณะที่เจ้าหน้าที่ก็มีความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอยู่แล้วและก็ไม่ได้มีการหยุดพัก ในส่วนของทหารก็มีการเปิดค่ายทหารในการอำนวยความสะดวกจุดพักรถให้ประชาชนเหมือนเดิม รวมถึงมาตรการเมาแล้วขับจับยึดรถก็ยังคงบังคับใช้
ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานความพร้อมของเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช โดย พล.อ.ประวิตรกำชับ ขอให้ฝ่ายข่าวเพิ่มความเข้มงานการข่าวในทุกมิติและจับตากลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในข่ายและอาจเป็นปัญหาความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนทั้งภายในและนอกประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เมืองใหญ่และในพื้นที่ภาคใต้ เครือข่ายนิยมความรุนแรง กลุ่มก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ การแสวงประโยชน์จากการลักลอบค้ามนุษย์และสินค้าผ่านแดน การเคลื่อนย้ายยาเสพติดและอาวุธสงคราม เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ขอให้หน่วยงานความมั่นคงในทุกจังหวัดตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดทั้งมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาตั้งแต่พื้นที่ชายแดนเข้ามาถึงพื้นที่ชั้นใน โดยให้ร่วมหารือและปรับแผนเผชิญเหตุให้สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในภาพรวม พร้อมทั้งให้สำรวจความพร้อมของกำลังคนและนำเทคโนโลยีเฝ้าตรวจมาเสริมให้เพียงพอกับการดูแลความปลอดภัยของประชาชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ประชาชนรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก พื้นที่จัดงานปีใหม่ รวมทั้งชุมทางคมนาคมทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ทั้งนี้ให้มีแผนรองรับปัญหาอัคคีภัยควบคู่กันไป
สำหรับการป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้น พล.อ.ประวิตรได้กำชับขอให้นำสถิติอุบัติเหตุทั้งปีที่ผ่านมา ทั้งพื้นที่ สาเหตุและปัญหาที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียนปรับแผนและเตรียมความพร้อมให้ครอบคลุมทั้งมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาอุบัติเหตุ โดยขอให้กระทรวงคมนาคมคุมเข้มบังคับใช้กฎหมายและสำรวจความพร้อมยานพาหนะสาธารณะทั้งทางบก น้ำและอากาศ ความพร้อมของเส้นทาง แสงสว่าง และเครื่องหมายจราจร รองรับการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวในทุกเส้นทาง และกำชับขอให้ตำรวจทางหลวงดูแลในเส้นทางหลัก กระทรวงมหาดไทยดูแลในเส้นทางหลวงชนบทภาพรวม พร้อมทั้งขอให้กระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลและการส่งกลับ เพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
พล.อ.ประวิตรยังได้ย้ำขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มความเข้มบังคับใช้กฎหมายจราจรในห้วง 7 วันอันตรายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสาเหตุหลักของอุบัติเหตุ คือ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว และการไม่สวมหมวกกันน็อก พร้อมกำชับให้ดำรงความต่อเนื่องในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในทุกท้องที่ โดยให้ดำเนินการตามแผนกวาดล้างอาชญากรรมต่อเนื่องกันไปและขอให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกับจิตอาสาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จำเป็นต้องรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชนและปรับปรุงการทำงานในพื้นที่ร่วมกันไป พร้อมทั้งต้องสร้างการตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังและดูแลกันเอง ทั้งการป้องกันอุบัติเหตุในครอบครัว และการดูแลความปลอดภัยภายในชุมชน
พร้อมกำชับขอให้กระทรวงมหาดไทยทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักเพื่อขับเคลื่อนกลไกทั้งระดับจังหวัดและท้องถิ่นทุกระดับในมาตรการต่างๆ ให้ครอบคลุมทั้งคน ถนน ยานพาหนะ การช่วยเหลือ ความปลอดภัยทางน้ำและนักท่องเที่ยวและการบริหารจัดการ โดยขอให้มีจุดตรวจ จุดสกัดตามความเหมาะสม ไม่สร้างปัญหาด้านการจราจร พร้อมทั้งขอให้ตั้งเป้าหมายลดจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมและมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพ่งเล็งพื้นที่เสี่ยงที่มีสถิติอุบัติเหตุสูงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ขอให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ด้วยความเป็นสิริมงคล