วันนี้ (13 ธ.ค.) เวลาประมาณ 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ในสไตล์ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง โดยวันศุกร์นี้ ได้พูดถึงประเด็น"นางงามกับการเมือง" เบื้องหลังการตั้งคำถามที่ถือว่าบัดซบ ให้"ฟ้าใส ปวีณสุดา"ตัวแทนจากประเทศไทยตอบในรอบ 5 คนสุดท้าย และสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกานั้นตั้งมาตรฐานให้คนอื่นทำตาม แต่ตนเองไม่เคยทำตามสักเรื่อง
คำต่อคำ SONDHI TALK [13 ธันวาคม 2562] การเมืองในเวทีนางงามโลก กับมุมมองที่หลายคนคาดไม่ถึง
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 13 เดือนธันวาคม จะเข้ากลางเดือนแล้ว อีกไม่นานก็จะปลายเดือน อีกสักนิดก็จะเป็นปีใหม่ 2563
วันนี้ผมมีเรื่องที่จะพูดที่ค่อนข้างจะให้ความรู้ และเรื่องที่สนุกสนาน แน่นอนที่สุด วันนี้เราจะไม่พลาดเรื่องของฟ้าใส ซึ่งผมจะเล่าที่มาที่ไป เรื่องราวของนางงามให้ฟัง โยงกลับไปถึงยุคของคุณอภัสรา หงสกุล คุณภรณ์ทิพย์ น้องปุ๋ย ตลอดจนเล่าว่าทำไมคำถามที่ค่อนข้างจะบัดซบที่ถามน้องฟ้าใสแบบนั้น ถึงหลุดออกมาแบบนั้น และเบื้องหน้าเบื้องหลังมีอย่างไร
แต่ก่อนอื่นวันนี้เรามาเริ่มกันเรื่องที่จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คุณสุเมธ ดำรงชัยธรรม ดีดีการบินไทย ได้ส่งข้อความไปให้กับพนักงานการบินไทยทุกคน ผมอยากจะอ่านให้ฟัง ข้อความไม่ยาวครับ สั้นๆ แต่ได้ใจความมาก และผมมีความเห็นบางประการที่อยากจะฝากคุณสุเมธไปด้วย
คุณสุเมธเขียนว่า ผมคือไพ่ใบสุดท้าย ผมแบกรับปัญหาและเรื่องราวต่างๆ ไว้มากมาย เป็นเรื่องใหญ่มหาศาล ผู้มีอำนาจกำกับดูแลการบินไทยจะต้องคิดให้ดีว่าจะให้ผมอยู่ต่อไป หรือจะเอาผมออก และถ้าเห็นว่าผมสามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็ต้องเชื่อใจผม อันนี้ก็เป็นข้อขัดแย้งที่ออกมา พิสูจน์ชัดเจน เฉพาะประโยคนี้จะเห็นได้ชัดว่าคุณสุเมธกำลังระบายให้ฟังว่าการทำงานของเขากับผู้กำกับดูแลการบินไทย คือคณะกรรมการบอร์ดการบินไทย และอาจจะรวมไปถึงประธานบอร์ด ตลอดไปจนถึงรัฐมนตรีที่ตั้งบอร์ดชุดใหม่นี้เข้ามา ว่าคุณจะเอาอย่างไรกับผม ถ้าคุณไม่พอใจที่ผมทำ เอาผมออกไปเลย แต่ถ้าคุณคิดว่าผมแก้ปัญหาได้ คุณต้องเชื่อใจผม ประโยคต่อไป คุณสุเมธบอกว่า คุณไม่มีไพ่ใบอื่นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าผมบอกไปทางขวา คุณก็ต้องไปขวา ถ้าผมบอกไปทางซ้าย คุณก็ต้องสนับสนุนและยอมรับว่าคุณไม่มีคนอื่นอีกแล้ว คุณสุเมธท้าทายบอร์ดการบินไทย ว่าผมนี่คือไพ่ใบสุดท้ายของคุณ ถ้าคุณไม่พอใจ คุณเอาออกไปเลย แต่ว่าบอร์ดถ้าเขาไม่พอใจ นักการเมืองไม่พอใจ เขาก็จะบอกว่า เออดี แกไม่ได้มาสมัยยุคฉันเป็นคนตั้ง ออกไปก็ดีเหมือนกัน แล้วฉันจะเอาคนของฉันเข้ามาอีก แต่คุณสุเมธทิ้งท้าทายแบบนี้ออกมามันมีนัยมาก
ประโยคต่อมาที่คุณสุเมธพูด ที่ผ่านมาคณะกรรมการ (บอร์ด) การบินไทยหลายท่าน ทั้งสั่งการ ต่อว่าต่อขานอะไรมากมาย จนผมรู้สึกว่านอกจากไม่รู้อะไรแล้ว หมายถึงบอร์ดนะ ไม่รู้อะไรแล้ว ยังไม่ทำการบ้านมาด้วย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า พูดในทางอ้อมก็คือพวกบอร์ดนี่โง่ บางท่านสงสัยว่าทำไมไม่ปรับลดค่าใช้จ่ายหรือปรับลดจำนวนพนักงาน บางท่านถึงกับเสนอให้ยุบฝ่ายช่าง (อ่านไม่ผิดหรอก) ให้ยุบฝ่ายช่าง ทำไมไม่ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำงานล่วงเวลา บางครั้งบอร์ดสั่งให้ทำ แต่ดันไม่บอกวิธีการว่าจะทำอย่างไร และที่ผ่านมาก็จะออกคำสั่งเช่นนี้ตลอด กระทั่งเกิดความผิดพลาดมาตลอดและเชื่อมโยงกันไปหมด พูดกันอย่างแฟร์ๆ นะครับ บอร์ดควรนั่งฟังปัญหามากกว่าจะมานั่งสั่งการว่าต้องทำอะไร พูดง่ายๆ ก็คือว่า นั่งเฉยๆ ประชุมบอร์ด เรียกผมเข้าไปชี้แจง ผมจะชี้แจงให้ฟัง แต่อย่ามาสั่งการและล้วงลูก แล้วทำเป็นรู้เรื่องโน้นรู้เรื่องนี้
คุณสุเมธจบด้วยประโยคที่ว่า ปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งคือ คนการบินไทย disruption กันเอง คนการบินไทยทำตัวเป็นอุปสรรคเสียเอง คุณสุเมธกำลังพูดในทางอ้อมว่าในที่สุดแล้วคนการบินไทยก็คือตัวปัญหาอีกตัวปัญหาหนึ่ง ก็คือว่าทะเลาะเบาะแว้งกัน มีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน โน่นนี่นั่น ก็ถือว่าเป็นการบ่นที่ค่อนข้างจะแรง ตั้งแต่ผมเห็นดีดีการบินไทยเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คุณสุเมธเป็นคนแรกที่กล้าพอที่จะออกมาฟาดฟันกับบอร์ดโดยตรง ส่วนใหญ่แล้วบอร์ดสั่งให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้น
สงสัยว่าเรื่องราวของการบินไทยมันหลังชนกำแพงจริงๆ นะ เมื่อหลังชนกำแพงแล้ว คุณสุเมธกำลังจะแก้ แล้วโดนบอร์ดขัดขวาง หรือบอร์ดเองก็ลงไปล้วงลูกแต่ละจุด ซึ่งคุณสุเมธไม่เห็นด้วย
ผมก็ไม่มีล่ะครับ ให้กำลังใจคุณสุเมธ แต่ผมอยากจะเตือนคุณสุเมธนิดหนึ่ง ถ้าคุณไม่อยากให้พนักงานการบินไทยมี disruption คุณต้องพิสูจน์ให้พนักงานการบินไทยเห็นเสียก่อนว่าคุณเข้ามาเพื่อช่วยองค์กรจริงๆ และข้อหนึ่งของการที่คุณจะต้องพิสูจน์ให้เห็น คือความโปร่งใสของคุณ คุณสุเมธครับ ผมเคยพูดแล้วใช่ไหมว่าเพื่อนเก่าของคุณที่เรียนอยู่อัสสัมชัญบางรัก รุ่น 97 ชื่อคุณกรกฎ โดนสอบกรณีเงินหายไป 21 ล้านบาท 50 ล้านรูปี และในผลการสอบก็เขียนว่าผิดระเบียบ ผิดวินัย ผมเรียนให้คุณสุเมธฟังแล้วไม่ใช่หรือ คุณสุเมธอยู่ภาคเอกชนมาก่อน คุณสุเมธก็เคยอยู่บริษัทน้ำมันพืชไทย อยู่บริษัทเงินทุน บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ถ้าลูกน้องของคุณทำเงินหาย 21 ล้าน โดยไม่มีที่มาที่ไป ในภาคเอกชนที่ไม่ใช่การบินไทย ต้องถือว่านี่คือการฉ้อโกง คุณสุเมธจะทำอย่างไรกับตรงนี้ ถ้าคุณสุเมธทำตรงนี้อย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่าคุณจะได้ใจพนักงานการบินไทยอีกไม่น้อยเลย และผมเชื่อว่า ถ้าคุณแก้ปัญหานี้ ปัญหา disruption ที่คุณบอก ระหว่างนักบินกับพวกแอร์ฯ ที่กำลังถกเถียงกันเรื่องเกี่ยวกับ per diem (เบี้ยเลี้ยงรายวัน) เรื่องของหน่วยนั้นกับหน่วยนี้ มันน่าจะแก้ไขได้ เพราะคุณสุเมธได้ชี้แจงและทำให้เขาเห็นว่า คุณไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม คุณสนอย่างเดียวที่จะทำให้การบินไทยนั้น จะต้องดีขึ้นมากว่าเก่า เพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็เลยอยากจะฝากบอกคุณสุเมธนิดหนึ่งว่าเรื่องราวแบบนี้บางครั้งคุณบอกให้บอร์ด ว่าบอร์ดไม่มีทางเลือก ว่าผมเป็นไพ่ใบสุดท้ายของคุณ แต่คุณก็ต้องบอกพนักงานเหมือนกันว่า พนักงาน ถ้าเราจะแก้วิกฤตนี้ไปด้วยกัน เราต้องไปด้วยกัน แต่คุณจะให้เขาเชื่อใจและศรัทธาคุณได้อย่างไร ถ้าการกระทำบางอย่างมันยังไม่โปร่งใสมากพอ
นี่โชคดีนะผมไม่ได้ถือหุ้นการบินไทย ถ้าผมถือหุ้นการบินไทย แล้วผมเข้าประชุมผู้ถือหุ้น ผมจะเป็นคนซักคุณเอง แต่ไม่เป็นไร คุณสุเมธ คุณอาจจะมีอะไรก็ตามที่คิดไว้แล้วเรื่องนี้ แต่เรื่องทุจริตหรือส่อไปในแนวการผิดระเบียบ และเงินหาย 21 ล้านบาท จากผู้จัดการที่อยู่ที่อินเดีย จากพื้นที่ที่อินเดีย ไม่ใช่เรื่องเล็ก ทุกคนรู้กันหมด ทุกคนในการบินไทยรู้กันหมด ทุกคนในสังคมรู้กันหมด ขึ้นอยู่กับคุณสุเมธจะเดินอย่างไรจากนี้ต่อไป และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ แล้วคุณโดนบอร์ดขวาง อาจจะเพราะบอร์ดมีผลประโยชน์ หรือบอร์ดเป็นเส้นเป็นสายของคนที่คุณจะจัดการ ไม่เป็นไรครับ ประชาชน ตลอดจนพนักงาน จะร่วมให้ความร่วมมือกับคุณ คุณสุเมธ คุณต้องจูงมือพนักงานเดินไปด้วยกันและแก้วิกฤตนี้ แต่ก่อนที่คุณจะจูงมือเขาได้ คุณต้องล้างมือของคุณให้สะอาดเสียก่อน ถ้ามือของคุณยังสกปรกอยู่ คุณจะไปจูงเขา เขาไม่ยอมให้คุณจูงไปหรอกครับ ผมก็ฝากข้อคิดไว้เพียงแค่นี้ แต่ผมเห็นใจคุณ และผมก็ชื่นชมที่คุณกล้าออกมาชนกับบอร์ดพวกนี้
อีกประการหนึ่ง ไหนๆ ก็ไหนแล้ว คุณน่าจะเสนอตัดอภิสิทธิ์ต่างๆ ที่บอร์ดได้รับ ไม่ใช่เฉพาะยุคนี้นะครับ ยุคก่อนๆ แต่ละคนได้นั่ง first class ทั้งครอบครัว ผัวตายโอนให้เมียต่อ ปีละตั้งกี่เที่ยวก็ไม่รู้ อันนี้อาจจะไม่ได้ทำให้การบินไทยขาดทุน แต่มันเป็นการสร้างอภิสิทธิ์ชนที่ทำให้เห็นว่าพวกที่อยู่ข้างบนสบายเอาๆ และคุณสุเมธอย่าลืมนะครับ ที่ผมเคยพูดเอาไว้ เวลาคุณลดคน คุณลดระดับผู้ใหญ่ฝ่ายบริหาร 1 คน ดีกว่าคุณไปลดระดับเด็ก 100 คน หรือ 30-50 คน คุณสุเมธ คุณต้องยอมรับนะครับว่าการบินไทยมันมี VP เยอะเหลือเกิน ทั้ง Director ทั้ง VP เขาว่าหลายสิบคน เป็นที่ช็อกกันในวงการบริหารของทั่วโลกเหมือนกันว่า สายการบินไทยมี VP กับ Director เยอะจริงๆ บางคนมีหน้าที่ส่งเสื้อ ในที่สุดได้ขึ้นเป็น VP เพราะฉะนั้นแล้ว คุณไม่ต้องไปฟังงานวิจัยของฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น Boston Consulting ซึ่งคุณอ้างมา ให้สัมภาษณ์มา ใช้สัญชาติญาณของคุณเป็นคนตัดสิน คุณน่าจะรู้ว่าหน่วยงานนี้ๆๆๆ น่าจะยุบและรวมเป็นหน่วยงานเดียว และลดคนลงไปครึ่งหนึ่ง 4 หน่วยงานเอามารวมกัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว VP 4 คน ก็เหลือแค่ Director เพียงคนเดียว VP ไม่ต้องมี ฝากเอาไว้แค่นี้ สิ่งที่ผมพูด ผมวิพากษ์วิจารณ์จากความบริสุทธิ์ใจ ก็ขอให้คุณฟังด้วยความบริสุทธิ์ใจ อะไรที่ผมพูดไปแล้วคุณไม่พอใจ หรืออะไรที่ผมพูดไปแล้วคุณคิดว่าผมพูดไม่ถูกต้อง ผมต้องขอโทษในทีนี้ด้วย
ท่านผู้ชมครับ จบเรื่องการบินไทยไปแล้ว เดี๋ยวเราจะมาพูดกันเรื่องของฮ่องกง ฮ่องกงวันนี้จะเป็นฟินาเล่ดีไหม แต่จริงๆ มันก็ฟินาเล่มาตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมพูดแล้ว เพียงแต่มีท่านผู้ชมหลายท่านบอกว่า คุณสนธิ ฮ่องกไปถึงไหนแล้ว โน่นนี่นั่น
เอาล่ะ วันนี้อธิบายภาพรวมและสิ่งที่เกิดขึ้นในฮ่องกงให้กับท่านผู้ชมฟังดีกว่า
ฮ่องกงเมื่อ 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ได้มีการเลือกตั้ง และปรากฏว่ามีคนเข้าไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงในการเลือกตั้งเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของฮ่องกง และปรากฏว่าฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลฮ่องกง ฝ่ายที่สนับสนุนให้มีประชาธิปไตย กลับเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งท้องถิ่น เขาบอกว่าในตำแหน่ง ในเก้าอี้ที่นั่งของสภาเขตท้องถิ่น ของฝ่ายที่ต่อต้านนางแคร์รี แลม ได้เสียงไปประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นที่ฮือฮา เป็นที่ดีอกอีใจสำหรับผู้ที่ต่อสู้กับนางแคร์รี แลม ซึ่งนางแคร์รี แลม นั้นก็เป็นตัวแทนของประเทศจีน
แต่ว่าทั้งหมดนี้กำลังสนุกสนานอยู่ จู่ๆ มันก็มีน้ำเย็นเฉียบเลยราดตัวลงมาให้มันเย็นต่อไป ก็คือเลิกร้อนแล้ว เพราะว่านายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์หน้าตาเฉย แบบหน้าตาย ว่า ผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตาม ซึ่งในข้อเท็จจริงฝ่ายจีนคิดว่าการเลือกตั้งฝ่ายจีนน่าจะชนะ เพราะฝ่ายจีนไปมองว่าประชาชนที่ไม่พอใจความยุ่งยาก ความวุ่นวาย การทุบตีร้านค้า การเผา การทำให้ชีวิตคนฮ่องกงลำบากยากเย็น ตลอดจนการทำร้ายผู้คน จะทำให้เสียงส่วนเงียบ หรือที่เรียกว่า Silent Majority ออกมาและลงคะแนนเสียงให้กับฝ่ายรัฐบาล แต่การณ์กลับเป็นตรงกันข้าม กลายเป็นฝ่ายที่ออกมาก่อความวุ่นวายได้รับเสียงสนับสนุนอย่างล้นหลาม แต่นายหวัง อี้ ก็พูดอย่างนิ่มๆ ว่า คุณจะมีผลการเลือกตั้งอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะข้อเท็จจริงก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็คือฮ่องกงก็ยังเป็นของฮ่องกงอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นแล้ว จะดีใจ จะมีสภาเขตสัก 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นของฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตย และเป็นฝ่ายที่ต่อต้านนางแคร์รี แลม นายหวัง อี้ บอกว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และจริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะว่าจีนไม่ได้มองฮ่องกงเลยแม้แต่นิดเดียวเลยในขณะนี้
ทำไมจีนไม่ได้มองฮ่องกงเลย ผมคิดว่าการจะอธิบายเรื่องฮ่องกง ต้องเอาปัญหาเศรษฐกิจให้ดูสักนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 (ค.ศ.1997) ตอนที่ฮ่องกงเปลี่ยนมือจากอังกฤษกลับมาเป็นเมืองจีน ท่านผู้ชมรู้ไหม จีดีพีของฮ่อกง เมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศจีน มีสัดส่วน 18.7 เปอร์เซ็นต์ เยอะนะ เยอะจริงๆ 22 ปีผ่านไป วันนี้จีดีพีฮ่องกง เทียบกับจีดีพีจีนแค่ 2.8 เปอร์เซ็นต์เอง จาก 18.7 เหลือ 2.8 แสดงว่าจีนก้าวหน้าในเรื่องการค้า ในเรื่องเศรษฐกิจไปอย่างมากมายมหาศาล จนกระทั่งความสำคัญของฮ่องกงลดน้อยลงๆๆๆ เรื่อยๆ ไป
ท่านผู้ชมครับ มีเรื่องบางเรื่องที่จะให้ดู เซินเจิ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เป็นหมู่บ้านชาวประมง อยู่ริมทะเล อยู่ติดกับฮ่องกง เซินเจิ้นยุคนั้น เติ้ง เสี่ยวผิง ประกาศที่จะเปิดประเทศโดยใช้เซินเจิ้นเป็นตัวทดลอง เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ใน 40 ปีที่ผ่านมา ทั้งเซินเจิ้นมีพื้นที่ทั้งหมด 2.5 ตารางกิโลเมตร แต่ใน 40 ปีที่แล้ว พื้นที่ที่คนอยู่อาศัยและทำธุรกิจกันมีน้อยมาก มีแค่ 0.2 ตารางกิโลเมตร เท่านั้นเอง มีตึกสูงๆ อยู่เล็กน้อยไม่กี่ตึก ถนนก็ยังเป็นถนนดินอยู่ มีบ้านต่างๆ ประชากรมีแค่ 25,000 คนเอง แต่มาวันนี้ และหลังจากที่ประเทศจีนเขาออกแบบประเทศของเขาใหม่ เขาจะมีลักษณะหนึ่งที่เขาคิดว่าจะเป็นแบบตัวอย่างของเขา ก็คือ The Greater Bay Area ใช้คำว่า Bay Area คือพื้นที่อ่าว เหมือนกับที่เมืองซานฟรานซิสโก ก็อยู่ใน The Bay Area เหมือนกัน Bay Area ของซานฟรานซิสโกก็จะมีหลายเมือง มีซานฟรานซิสโก มีซอซาลิโต มีโน่นมีนี่ อยู่รอบๆ อ่าว มีโอกแลนด์
จีนก็เลียนแบบ จีนเลียนแบบถึงขนาดเอาเสฉวนซึ่งอยู่ทางตะวันตก ยูนนาน ซึ่งอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ กุ้ยโจว กว่างสี เอามารวมเป็น The Greater Bay Area แต่อันนี้วันหลังผมจะพูดอีกครั้งหนึ่ง วันนี้เอาเฉพาะเซินเจิ้น กับกลุ่มเมืองต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำไข่มุก หรือที่เขาเรียกกันภาษาจีนกลางว่า จูเจียง จู ก็คือไข่มุก เจียง ก็คือแม่น้ำ
ที่ผมต้องพูดเรื่องนี้เพราะจะต้องให้ท่านผู้ชมเข้าใจว่าจีน ณ วันนี้ ถ้าฮ่องกงเป็นกบฏ เขาไม่สนใจ เพราะอย่างไรก็ประกาศเอกราชไม่ได้ เพราะเขาต้องปราบปรามหนัก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเมื่อเร็วๆ นี้จีนส่งหน่วยปราบจลาจลของมณฑลซินเกียง มณฑลซินเกียงก็คือดินแดนที่มีชาวอุยกูร์อยู่ แล้วจีนรบราฆ่าฟันกับพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่นั่นอย่างมากมายมหาศาล วันนี้อุยกูร์ในขณะนี้ถูกจีนปราบเสียสงบราบคาบ แต่กลับกำลังได้รับการสนับสนุนในทางประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจากอเมริกา
เมื่อเร็วๆ นี้อเมริกา หลังจากที่ได้ออกกฎหมายป้องกันสิทธิมนุษยชนของฮ่องกงแล้ว ยังออกกฎหมายที่เรียกว่า อุยกูร์แอกต์ (Uyghur Act) อีกอันหนึ่ง ซึ่งนัยตรงนี้คือการรุกฆาตจีน นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่วันหลังผมจะพูดให้ฟัง ว่าทำไมอเมริกาตอนนี้ถึงกลัวจีนมาก อเมริกาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำลายจีนให้ได้ หรือทำให้จีนนั้นไม่สามารถที่จะเจริญเติบโตไปตามทิศทางที่จีนต้องการได้ และอันนี้ก็จะเกี่ยวพันกับนายสี จิ้นผิง ซึ่งผมก็ติดค้างท่านผู้ชมอีกแล้ว สรุปแล้วในจีนผมติดค้างท่านผู้ชมประมาณ 3 เรื่อง
เรื่องแรกที่วันนี้พูดก็คือ The Greater Bay Area ซึ่งเป็นการรวมเสฉวน ยูนนาน กุ้ยโจว กว่างสี และกลุ่มเมืองที่อยู่ลุ่มแม่น้ำไข่มุกเข้ามาเป็นตัวเดียวกันหมดเลย ว่ากันว่าเขาจะรวมไปจนถึงเกาะไหหลำด้วย นั่นคือเรื่องแรกที่ผมติดค้าง
เรื่องที่สองที่ผมติดค้างก็คือ อเมริกากลัวจีนตรงไหน และอเมริกา โดยเฉพาะประธานาธิบดีทรัปม์ ทำไมถึงต้องการจะทำลายจีนทุกเรื่อง มันมีเหตุมีผลของมัน เพราะอเมริกากำลังตกเป็นเบี้ยรองของจีนในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว ท่านผู้ชมครับ ในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เรียกว่า Artificial Intelligence (AI) ตอนนี้ จีนอันดับ 1 อเมริกาเป็นรองจีนไปเรียบร้อยแล้ว เทคโนโลยีในเรื่อง 5G จีนอันดับ 1 เช่นกัน หัวเว่ย อเมริกายังไม่เริ่ม 5G เลย ยังตกลงกันไม่ได้ จีนเริ่ม 5G ไปแล้ว เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า สำหรับอเมริกาแล้ว ยุทธศาสตร์ที่อเมริกาออกแบบมาคืออินโด-แปซิฟิก เพื่อสร้างยุทธศาสตร์พันธมิตรอินโด-แปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย อินโดจีน และมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อล้อมจีน
อเมริกาตอนนี้ก็เร่งที่จะทำประชาสัมพันธ์ โดยเชิญผู้สื่อข่าวคนไทยไปที่ฮาวาย ไปที่อีสต์-เวสต์เซ็นเตอร์ (East-West Center) ศูนย์ตะวันออก-ตะวันตก ของมหาวิทยาลัยฮาวาย และอธิบายยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ขึ้นมา
เอาล่ะ ท่านผู้ชม เรื่องสุดท้ายที่ผมติดค้างท่านผู้ชม คือเรื่องของสี จิ้นผิง สี จิ้นผิง ที่ติดค้างท่านผู้ชมเพราะว่าผมดันไปบอกว่า ผมมองว่าสี จิ้นผิง มีไอดอลอยู่คนหนึ่ง คืออดีตจักรพรรดิในราชวงศ์หมิง จักรพรรดิองค์ที่ 3 ที่ชื่อหย่งเล่อฮ่องเต้ ผมได้ข้อมูลมาเกือบครบแล้ว และจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะพูดเรื่องนี้ ว่า สี จิ้นผิง กับหย่งเล่อฮ่องเต้ มีอะไรคล้ายกัน แล้วเดินไปในทิศทางไหนบ้าง แบบเดียวกัน และรายการที่ผมจะพูดเรื่องสี จิ้นผิง กับหย่งเล่อฮ่องเต้นั้น ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังขอให้คุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล และภรรยาของเขา คุณดวงพร ช่วยทำซับภาษาจีน เพราะผมเชื่อว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดเปรียบเทียบสี จิ้นผิง กับหย่งเล่อฮ่องเต้ ซึ่งไม่มีใครเคยพูดมาก่อน จะเริ่มที่รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ท่านผู้ชมจะเป็นคนแรก เป็นกลุ่มคนแรกที่จะได้ทราบความคิดเช่นนี้
กลับมาที่เซินเจิ้นนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ปี 2561 ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรก เซินเจิ้นพื้นที่เพียง 2.5 ตารางกิโลเมตรกว่า จีดีพีแซงฮ่องกงไปแล้ว เป็นครั้งแรก เป็นครั้งแรกจริงๆ ฮ่องกงใหญ่กว่า เป็นศูนย์กลางการค้า ศูนย์กลางการเงิน เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวมาตั้งนมตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว จีดีพีของฮ่องกงใหญ่กว่าเซินเจิ้นมาก แต่ว่าวันนี้พิสูจน์ออกมาแล้วว่า สิ้นปี 2561 จีดีพีเซินเจิ้นมากกว่าฮ่องกงประมาณ 1-2 แสนล้านบาท ก็คือว่า จีดีพีรวมของฮ่องกงมีอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 10.35 ล้านล้านบาท แต่พอสิ้นปี 2561 ออกมาแล้วว่า ฮ่องกงโต 3 เปอร์เซ็นต์ เซินเจิ้นโต 7.5 เปอร์เซ็นต์
เซินเจิ้น ปี 61 จีดีพีของเขาโต 7.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 2.42 ล้านล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยก็คือ 10.45 ล้านล้านบาท ก็คือมากกว่าฮ่องกงแสนล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ อย่าทำเป็นเล่นไป ตรงนี้มีนัยมาก ผมจะเล่าให้ฟัง จีนมองอะไรตอนนี้ จีนเขามองว่ากลุ่มลุ่มแม่น้ำเพิร์ลริเวอร์ (Pearl River) เขาจะพัฒนากลุ่มลุ่มแม่น้ำตรงนี้ให้เป็นกลุ่มที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ท่านผู้ชมจะได้เห็นชัดเจนจากกล้อง และเดี๋ยวจะสอดแทรกแผนที่ลงไปอีกที)
ท่านผู้ชมจะเห็นว่าเมืองต่างๆ ที่เขาลากเส้นมา เป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลกวางตุ้ง แล้วในนี้ก็รวมฮ่องกง และรวมมาเก๊าเข้าไปด้วย หลักๆ แล้วจีนเขามีเมืองที่จะรวมตัวอยู่ในลุ่มแม่น้ำไข่มุก ในเมืองที่รวมลุ่มแม่น้ำไข่มุก มันจะมีเมืองสำคัญสำหรับจีนก็คือ 1. จูไห่ 2. จงซาน 3. เจียงหนาน 4. เส้าชิง 5. โฝซาน ท่านผู้ชมที่ดูหนังกำลังภายใน จำได้ไหมว่า โฝซานคืออะไร โฝซานคือบ้านเกิดของกังฟูสุดยอดของจีนที่ชื่อ หวงเฟยหง และยิป มัน ก็โตที่โฝซาน ผมเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟังนิดหนึ่งนะครับ นอกจากโฝซานแล้ว ก็ยังมีกวางโจว ที่คนไทยชอบบินไปซื้อของจีนกัน และมีศูนย์อุตสาหกรรมของจีนทางตะวันออกเฉียงใต้ คือตงก่วน ตงก่วนนี่ผลิตได้ทุกอย่างในโลกนี้ ตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ แล้วก็มีเมืองหุ้ยโจว และสุดท้ายก็คือเซินเจิ้น เซินเจิ้นอยู่ติดฮ่องกงเลย
ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมคนไหนที่เคยไปเซินเจิ้น หรือกวางโจว ในปีนี้ หรือปีที่แล้ว ท่านจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล ในเซินเจิ้นนะ เดี๋ยวนี้ถ้าท่านจะทานอาหารจีนที่อร่อย ไม่ต้องไปฮ่องกง ฮ่องกงสู้เซินเจิ้นไม่ได้แล้ว เพราะร้านอาหารจีนที่มีชื่อในฮ่องกงย้ายไปอยู่เซินเจิ้น ยิ่งมีการประท้วงกันแบบนี้ หลายร้านปิด แพ็กของแล้วก็ย้ายไปอยู่เซินเจิ้น คนฮ่องกงเองเดี๋ยวนี้ก็เดินทางไปกินอาหารที่เซินเจิ้น เพราะไปเช้า-เย็นกลับได้ และเซินเจิ้นกลายเป็นเมืองที่ผมเรียกว่าซิลิคอนวัลเลย์ของจีน มีเมืองเทคโนโลยี บริษัทใหญ่ๆ อยู่ที่นั่น หัวเว่ย ต้องถือว่าใหญ่ที่สุดในโลกแล้วในเรื่องของเทคโนโลยี Telecommunications ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนระดับรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ไปเยือนหัวเว่ยแล้วตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของหัวเว่ย และยังมีบริษัท Tencent คือบริษัทที่ทำ WeChat และทำเรื่องเทคโนโลยีใหญ่ JD.com ก็อยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลกทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ถนนหนทางในเซินเจิ้น ตึกรามบ้านช่องขึ้นมา ความสะอาดเรียบร้อย ความเป็นระเบียบ ถนนดี ผู้คนแต่งตัวเหมือนกับอยู่เมืองนอก เซินเจิ้นกำลังเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ถ้าไม่ก้าวกระโดดเขาจะมีจีดีพีที่เหนือกว่าฮ่องกงได้อย่างไร
พอเราเลยเซินเจิ้นมานิดหนึ่ง จากเซินเจิ้น นั่งรถไฟไปสักนิดหนึ่ง ไปทีเมืองกวางโจว ท่านผู้ชมคนไหนที่เคยไปเมืองกวางโจวปีนี้หรือปีที่แล้วจะเห็นว่าโฉมหน้าของเมืองกวางโจวเปลี่ยนไปหมดแล้ว สมัยก่อนกวางโจวเละเทะ สมัยก่อนวุ่นวาย อากาศสกปรก จีนแก้ปัญหาเรื่องฝุ่นได้เรียบร้อยแล้ว ปักกิ่งซึ่งเคยมีอากาศสกปกรกที่สุดในโลก วันนี้ปักกิ่งท้องฟ้าใส เขาแก้อย่างเด็ดขาดแล้ว มีที่เดียวที่ยังสกปรกอยู่ตอนนี้ คือกรุงเทพมหานคร และประเทศไทย
กวางโจว คนที่ไปเดินในกวางโจววันนี้ บางครั้งจะเดินไปเดินมานึกว่าเดินในยุโรป นึกว่าเดินในอเมริกา มีร้านกาแฟสวยๆ มีร้านอาหารดีๆ มีการบริการที่ดี ถนนหนทาง ทางเดิน มีดอกไม้ ทุกอย่าง ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าจีนกำลังทุ่มทุกอย่างลงไปที่กวางโจวและเมืองต่างๆ ที่อยู่ในช่วงลุ่มแม่น้ำไข่มุก ที่ผมเล่าให้ฟัง
เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมตามผมมา จีนรู้สึกอย่างไรกับการประท้วงในฮ่องกง เขาไม่รู้สึกอะไรแล้ว เขามองว่า อย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบแล้ว ท่านผู้ชมวันนี้คงเห็นด้วยกับผมแล้ว เขาบอกว่า คุณทำตัวให้เละไปเลยก็แล้วกัน ผมไม่สนใจ ทำตัวให้เละไปเลย แล้วปรากฏว่าคนก็ไม่เที่ยวฮ่องกง คนฮ่องกงเองวันนี้มาที่เมืองไทย คนจีนที่จะไปฮ่องกงก็ไม่ไปฮ่องกงแล้ว ก็มาเมืองไทยแทน เพราะฉะนั้นไทยก็ได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยว ฉะนั้นถามว่าฟินาเล่ของฮ่องกงถึงหรือยัง ผมว่าถึงแล้ว เพราะวันนี้ ในช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ตามข่าวที่ผมได้มา ฮ่องกงสงบมาก ไม่มีการทุบตีห้างร้าน ไม่มีการเผาโน่นเผานี่ แต่มีการประท้วง และที่น่าสนใจคือตำรวจอนุญาตให้ประท้วงได้ และไม่มีเรื่องราวอะไรที่วุ่นวายทั้งสิ้น คำถามมีอยู่ว่า คุณประท้วงแล้วคุณได้อะไร คุณไม่ได้อะไรหรอก เพราะว่าจีนไม่ยอม เหมือนคุณเอาหัวไปโขกกำแพง โขกเท่าไรกำแพงก็ไม่พัง หัวแตก มิสู้คุณเอาหัวไปโขกก้อนเต้าหู้ดีกว่า อย่างน้อยที่สุดก้อนเต้าหู้ก็ยังเละ คุณก็ยังมีความสุขที่ก้อนเต้าหู้มันแตก
ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่าผมเคยพูด ปรากฏว่าแหล่งข่าวของผมเขาบอกว่า พวกชายชุดดำหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปไหน ผมก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ผมก็ถามเขาว่าแล้วชายชุดดำมาจากไหน เขาบอกว่าไม่รู้ บางคนก็บอกว่าเป็นทหารรับจ้างที่ส่งเข้ามา โดย CIA เอย MI5 เอย เขาบอกว่ามีแม้กระทั่งคนไทยไปโผล่ด้วย อยู่ในกลุ่มพวกชายชุดดำ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผู้ที่ประท้วงหนักไม่อยู่แล้ว แล้วฮ่องกงครั้งหลังสุด ผู้ประท้วงไปยึดมหาวิทยาลัยฮ่องกงโพลีเทคนิค เข้าไปเป็นพันคน ปรากฏว่าตำรวจจับเป็นพันคน และศาลพิพากษาติดคุกเป็นพันคนเลย ก็เลยทำให้คนฮ่องกงซึ่งธรรมดาแล้วรักสงบ และกลัว ก็เริ่มไม่เข้าไปร่วมในการยึดสถานที่ต่างๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ฟินาเล่ของฮ่องกงในขณะนี้ก็คือ ถ้ามันสงบ ทุกอย่างก็กลับไปเป็นปกติ เพราะว่ากุญแจของเศรษฐกิจของฮ่องกงไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ประเทศจีน ประเทศจีนจะทำให้ฮ่องกงเจ๊ง เขาก็ทำได้ เขาแค่เพียงออกคำสั่งไม่ให้คนจีนมาเที่ยวฮ่องกง รายได้การท่องเที่ยวหายไปเลย จบ แล้วที่ทุกวันนี้ที่ประเทศไทยกำลังวิตกกังวลก็ไม่ใช่เพราะรายได้การท่องเที่ยวหรือ รายได้การท่องเที่ยวเราต่ำ แต่แนวโน้มจะดีขึ้นในปีหน้า ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว
นี่ก็อีกเรื่องหนึ่งที่ผมติดท่านผู้ชม ในเรื่องเศรษฐกิจไทยที่จะปรากฏในปีหน้า เอาเป็นเซิร์ฟๆ เป็นออร์เดิร์ฟก่อนแล้วกัน ปีหน้าจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย แต่ข่าวร้ายจะมาก่อน แล้วหลังจากนั้นข่าวดีก็จะตามมา ค่อยตามผมมาก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้คงได้คำตอบแล้วมั้งว่าฮ่องกงจะเป็นอย่างไรจากนี้ต่อไป ไม่เป็นอะไรครับ ชัดๆ ก็ยังเป็นของจีนเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประท้วงกันให้ตาย เขาก็ไม่แคร์ เขาไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะข้อเท็จจริงก็คือว่า คนที่ประท้วงทำอะไรจีนไม่ได้เลย เพราะยังเหลือสัญญาอีก 20-30 ปี คุณมีปัญญาประท้วงทำให้ฮ่องกงเจ๊ง คุณก็เจ๊งไป จีนไม่เดือดร้อน จีนก็ทำให้เซินเจิ้นเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ทำให้เมืองจงซานเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ทำให้เมืองที่ล้อมรอบเซินเจิ้นเจริญเติบโต
และในที่สุดแล้ว ทั้งการท่องเที่ยว ทั้งอาหารการกิน ทั้งเทคโนโลยี การลงทุน ก็จะไปที่นั่น เพราะว่าจีนกำลังเตรียมตัวที่จะเอากลุ่มเมืองต่างๆ ที่ผมเล่าให้ฟัง เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใหญ่มาก และจะออกตรากฎหมายพิเศษเฉพาะบริเวณนั้น กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นภาษีอากร ไม่ว่าจะเป็นสิทธิเสรีภาพ จะเหมือนฮ่องกง ขาดอยู่อย่างเดียวที่จีนให้ไม่ได้ ก็คือการท้าทายอำนาจของรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งโอเค เพราะว่าคนที่ไปฮ่องกง คนที่ไปเซินเจิ้น และไปพวกนี้ หนึ่ง ถ้าไม่ใช่นักลงทุน ก็นักท่องเที่ยว ไม่มีใครสนใจหรอกครับว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกกฎอะไร เพราะว่าจีนเขาก็จะไม่ทำความเดือดร้อนให้กับคนที่ไปเที่ยว ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับคนที่ไปทำธุรกรรม ตกลงฮ่องกงก็จบลง
ท่านผู้ชมครับ มาถึงรายการเอกของเรื่องวันนี้ คือเรื่องคุณฟ้าใส แต่ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องคุณฟ้าใส ท่านผู้ชมรู้หรือไม่ว่าที่มาที่ไปของการประกวดนางงาม ประเทศไทย มีมาอย่างไร ท่านผู้ชมต้องเข้าใจก่อน การประกวดนางงามแต่ละยุคแต่ละสมัย จะมีนัยของแต่ละยุคแต่ละสมัย จะมีเป้าหมายแต่ละยุคแต่ละสมัย และมันก็หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
การประกวดนางงามยุคแรก เป็นช่วงปี 2477 หรือประมาณ 85 ปีที่แล้ว จนถึงปี 2497 หรือ 65 ปีที่แล้ว 20 ปี จาก 2477-2497 ยุคนั้นเขาเรียกกันว่านางสาวสยาม พอหมดจากนางสาวสยามแล้ว มาถึงยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็คือน่าจะเป็นยุค 2482 ก็เลยเปลี่ยนเป็นคำว่านางสาวไทย ทำไมต้องเปลี่ยนจากสยาม เป็นไทย เพราะแต่ก่อนชื่อประเทศเราคือสยาม แต่จอมพล ป. เป็นคนที่ต้องการที่จะส่งเสริมนโยบายรัฐนิยม คือไทยนิยม ก็เลยเปลี่ยนชื่อสยาม เป็นประเทศไทย ก็เลยมีนางสาวไทยขึ้นมา
ท่านผู้ชมครับ ผู้ที่ได้นางสาวไทยคนแรก ชื่อคุณเรียม เพศยนาวิน แล้วน่าสนใจอย่างหนึ่ง คุณเรียม เพศยนาวิน ไม่ใช่คนที่เป็นคนไทยแท้ เป็นส่วนผสมของลูกครึ่งระหว่างคนอินเดีย กับคนจีนเชื้อไทย พ่อเป็นคนอินเดียที่เป็นเชื้อสายมุสลิม แม่เป็นคนจีนเชื้อไทย
คุณเรียม ได้รับเลือกเป็นนางสาวไทยยุคนั้น ก็เพราะในขณะนั้น จอมพล ป. ต้องการที่จะโปรโมตว่ารัฐไทย รัฐใหม่นี้ มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ เป็นเบ้าหลอมรวมของคนหลายชาติพันธุ์ ดูอย่างคุณเรียมสิ ยังได้เป็นนางสาวไทยเลย และคุณเรียมก็ได้เป็น และคุณเรียมก็โชคดี ต่อมาภายหลังคุณเรียมได้เป็นชายาองค์ที่ 2 ของรายาที่ยะหริ่ง ทางมาเลเซีย ก็โชคดีไป
เพราะฉะนั้นยุคแรก นางสาวไทยเป็นปากกระบอกเสียงของรัฐ เป็นเกียรติของชาติ และเป็นเกียรติยศของครอบครัว จากภาพลักษณ์ของรัฐที่ให้มีการประกวด เข้าไปโฆษณาชวนเชื่อให้คนในรัฐ ก็สู่ภาพของไทยต่อชาวโลก เมื่อไรครับ เมื่อปี 2507-2515 ก็คือประมาณ 8 ปี เหตุผลที่ว่างเว้นไปเกือบสิบปี เพราะมีสงครามโลกครั้งที่ 2 พอจบสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ทุกอย่างสงบ ก็มีการเมืองไทย ประเทศไทย เริ่มก้าวเข้าสู่สถานการณ์โลกแล้ว ไม่ใช่อยู่กันแค่ประเทศไทย มาเลเซีย แค่นั้น มีมากกว่านั้นแล้ว จุดมุ่งหมายของนางสาวไทยตั้งแต่ปี 2507 ไปจนถึง 2515 ก็เริ่มเปลี่ยนไป
2507 คือ ค.ศ.1964 เป็นช่วงที่สงครามในเวียดนามกำลังถึงจุดสูงสุด กำลังรบราฆ่าฟันกันแหลกเลย อเมริกาใช้ทหารเวียดนามใต้รบกับทหารเวียดนามเหนือ ที่เขาเรียกว่าเวียดมินห์ เวียดมินห์หรือทหารเวียดนามเหนือ ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและจากจีน ก็คือเป็นสงครามตัวแทน และยุคนั้นก็เป็นยุคที่มีทฤษฎีโดมิโน
ทฤษฎีโดมิโน หมายความว่า ถ้าสมมุติว่าเวียดนามล้ม ลาวก็ล้ม เขมรก็ล้ม และต่อไปก็จะเป็นประเทศไทย เขาเรียกว่า Domino Theory ทฤษฎีโดมิโน ซึ่งทฤษฎีนี้ คนที่คิดขึ้นมาชื่อ นายจอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส (John Foster Dulles) เป็นอดีตรัฐมนตรีสายเหยี่ยวของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ตอนนั้นอเมริกาอ้างตัวเองว่าเป็นผู้นำในโลกเสรี และรัสเซียก็เป็นผู้นำในโลกคอมมิวนิสต์ โลกเสรีซึ่งจริงๆ แล้ว เข้าไปดูกันจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้เสรีเหมือนอย่างที่อเมริกาพูด อเมริกาก็เลยต้องการที่จะสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับพันธมิตรทั้งหลาย ก็เลยให้มีการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สเป็นครั้งแรก ฝีมืออเมริกา คือใช้การประกวดนางงามเป็นการดึงดูด ใช้พลังนางงามเป็นตัวดึงดูดเรื่องราวต่างๆ ของพันธมิตรต่างๆ สายสัมพันธ์ต่างๆ เอามารวมกันบนเวทีนางงาม และเป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศด้วย ถ้าท่านผู้ชมรู้เรื่องประวัติเศรษฐกิจดี จะเห็นได้ชัดว่าในช่วงปี 1964 เป็นต้นมา 64-65-66-67-68-69-70 หรือ 2507 แปดปีช่วงหน้าถ้ากลับไปดูย้อนหลังก็จะเห็นว่าเป็นจังหวะช่วงที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุนของประเทศไทย หรือบีโอไอ กำลังเจริญรุ่งเรืองมาก มีการให้สิทธิพิเศษประเทศโน้นประเทศนี้มาลงทุน
และในที่สุดแล้ว ช่วงที่ 3 ก็เกิดขึ้น ก็คือช่วงปี 2527 (หรือช่วงปี 1984) ถึง 2530 (หรือปี 1987) เวทีนางงามก็เริ่มก้าวเข้ามาในรูปธุรกิจเต็มรูปแบบ
ท่านผู้ชมครับ ในปี 2507 จนถึง 2515 ในช่วงนั้นก็เป็นปีที่คุณปุ๊ก อภัสรา หงสกุล ได้เป็นนางงามจักรวาล ท่านผู้ชมครับ ทราบหรือไม่ว่าคุณอภัสรา หงสกุล ปีนั้นทำไมถึงได้เป็นนางงามจักรวาล ประการแรก เป็นปีของสงครามในเวียดนาม ในขณะเดียวกันอเมริกาต้องการที่จะส่งเสริมประเทศไทยเพื่อให้มาต่อต้านพวกคอมมิวนิสต์ แต่รูปร่างของคุณอภัสรา ผมไม่ได้พูดจาทะลึ่งนะครับ ถ้าเป็นผู้ชายด้วยกันจะเข้าใจ คุณอภัสรา สูง 165 เซนติเมตร คุณอภัสรา หน้าอกตามสัดส่วน 35 เอว 23 ทุกวันนี้ผู้หญิงเอว 23 หาแทบไม่ได้แล้ว สะโพก 35 ในสายตาฝรั่งนี่เขาเรียกว่าทรงนาฬิกาทราย สะโพกกับส่วนบนเท่ากัน และเอวคอด นิดเดียว ผมคิดว่าตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง ความงามมีอยู่แล้ว ที่ทำให้คุณอภัสราได้เป็นนางงามจักรวาล เท่านั้นเองครับ เรื่องเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปถือสาอะไร
ในช่วงปี 2527-2530 สี่ปี นางงามเริ่มพัฒนาเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบแล้ว ท่านผู้ชมจำได้ไหม สมัยหนึ่งเวลาประกวดนางงามทีไร จะต้องมีสปอนเซอร์ บริษัทน้ำมันสามทหารส่ง น.ส.กิตติยา เข้าไปประกวด เบียร์สิงห์ส่ง น.ส.จันทนา เข้าไปประกวด คือนางงามจะเข้าประกวดได้ต้องมีสปอนเซอร์ เพราะฉะนั้นแล้ว ก็มีเงินมีทองเข้ามา เริ่มเป็นธุรกิจ และคนที่จัดการประกวดและเอานางงามเข้าก็เป็นกลุ่มธุรกิจ เป็นนักธุรกิจทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้นนางงามเมื่อเป็นตัวแทนธุรกิจแล้ว ต่อมาภายหลังนางงามก็เลยเป็นตัวแทนแบรนด์เนมหมดเลย เป็นตัวแทนของสินค้า อย่างเช่นเครื่องสำอาง จะชิเชโด จะคัฟเวอร์มาร์ค จะอะไรก็ตาม ของไทยก็เข้าไปสู้กันแบบนี้ สร้างมูลค่าให้วงการธุรกิจ คือต่างคนต่างได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นแล้ว จากเกียรติยศของการเป็นนางสาวไทย หรือเป็นรองนางสาวไทย ที่เป็นเกียรติของชาติ เป็นเกียรติของครอบครัว ถูกพลิกผันให้เป็นตำแหน่งที่สามารถจะทำมาหากินได้
ท่านผู้ชม ค่าตัวนางงาม ก่อนที่จะเป็นนางงาม ค่าตัวไม่มีเลย ทั่วๆ ไป สมัยก่อน เข้าไปโชว์ตัวที อาจจะสวย ไปโชว์ตัวทีอาจจะได้ 5 พัน พอเป็นนางงามแล้ว พอไปโชว์ตัวอาจจะได้ 1 แสน
จุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง คือปี 2543 หรือ ค.ศ.2000 จุดเปลี่ยนนี้สำคัญมาก มิสยูนิเวิร์ส ตอนนี้เริ่มเข้ามาบุกในประเทศไทยแล้ว โดยติดต่อให้มีการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ก็คือใครก็ตามได้เป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ก็จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าไปประกวดที่อเมริกา หรือแล้วแต่ประเทศที่เขาต้องการ เวทีนางสาวไทยยังอยู่ครับ แต่ไม่ได้ส่งไปประกวดเวทีระดับโลก เพราะว่าเป็นธุรกิจอีกประเภทหนึ่ง เมื่อมิสยูนิเวิร์สเข้ามามีบทบาทต่อการประกวดนางสาวไทย ก็เหมือนกับแมคโดนัลด์ หรือเคเอฟซี เข้าประเทศไทยไงล่ะ ก็มีอิทธิพลต่อการกินของประเทศไทยเช่นกัน ฉันใดฉันนั้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย
พอเวลาผ่านมา ถึง 2543 ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเข้มงวดแล้ว เริ่มเข้มงวดกับใคร เริ่มเข้มงวดกับคุณสมบัติของนางงาม จากสมัยก่อนเรียนหนังสือแค่ไหนก็สามารถประกวดได้ เดี๋ยวนี้เริ่มมาแล้ว ต้องอย่างน้อยจบ ม.3 จนกระทั่งพัฒนามาทุกวันนี้ 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องจบขั้นต่ำปริญญาตรี บางคนก็จบปริญญาโท บางคนเป็นหมอ บางคนเป็นพยาบาล แล้วก็เริ่มเข้มงวดกับความประพฤติ เอ๊ะ คนนี้มีเรื่องฉาวโฉ่อยู่หรือเปล่า จู่ๆ เราจะเห็นเลย มีข่าวหลุดออกมาว่านางงามคนนี้เคยมีลูกมาแล้วนี่ มีข่าวออกมาอย่างนี้ นางงามคนนี้เคยแต่งงานมาแล้ว ก็ต้องถอดมงกุฎกัน หรือ disqualified หรือให้หมดคุณสมบัติไป
ก็เลยกลายเป็นว่า จากความคาดหวังของคนไทย สังคมไทย ที่มองนางงาม ก็เลยคาดหวังสูงขึ้น พอคาดหวังสูงขึ้นปั๊บ ก็เหมือนอุปมาอุปไมยว่าเราก็คาดหวัง ส.ส.ต้องเป็นคนดีนะ ต้องจบปริญญาตรีนะ ประวัติต้องไม่ด่างพร้อยนะ แต่ในข้อเท็จจริง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ของ ส.ส.ด่างพร้อยทั้งนั้น พวกนี้ ไม่เชื่อก็ดูสิครับว่าใครรุกที่ของหลวงบ้างตอนนี้ ใครยึดพื้นที่ ส.ป.ก.ไปบ้าง ที่เห็นก็มีอยู่ 11 ราย ที่กำลังมีเรื่องมีราวอยู่ และที่เป็นนางเอกอยู่ตอนนี้ คือคุณปารีณา ไกรคุปต์ ซึ่งท่านผู้ชมหลายท่านก็บอกว่าทำไมผมไม่พูดถึงเรื่องคุณปารีณา ไกรคุปต์ มีครับ เตรียมไว้แล้วครับ จะพูดถึงเรื่องคุณปารีณา ไกรคุปต์ ไม่ต้องพูดโดยตรง แต่ไปพูดถึงประชาชนที่ถูกจับดำเนินคดีในกรณีรุกที่ ส.ป.ก. โดยกรมป่าไม้ อันนี้เป็นตัวอย่างที่เปรียบเทียบให้เห็นนะครับ
แต่ว่าเงื่อนไขกับคุณสมบัติต่างๆ ของแต่ละประเทศไม่เหมือนกันนะท่านผู้ชม ของเวียดนาม ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าผู้หญิงเวียดนาม ช่วงหลังพอประกวดนางงามเวียดนาม สวย เข้าเวทีโลกก็ติดอันดับหลายคน แต่ยังไม่มีใครได้เป็นนางงามจักรวาล จนกระทั่งเสียงเรียกร้องของสังคมเวียดนาม บอกว่านางงามเวียดนามมันเป็นบล็อกเกาหลี เดี๋ยวนี้บล็อกเกาหลีก็คือทำหน้าทำตามา ท่านผู้ชมสังเกตหรือเปล่าว่าช่วงหลังๆ นี่นางงามเกาหลีไม่ติดอันดับเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าบล็อกเกาหลีหน้ามันเหมือนกันหมด ผู้หญิงไทยหลายคนเดินบนถนน หรือคนที่ผมเจอ หน้ามันจะคล้ายๆ กัน เพราะว่าทำศัลยกรรมตามสูตรของเกาหลี ทีนี้คนเวียดนามก็บอกว่า นางงามเวียดนามมันค่อนข้างที่จะจอมปลอม ของปลอมเยอะ คณะกองประกวดเวียดนามก็เลยระบุว่า ใครจะสมัครประกวดนางงามเวียดนาม ต้องห้ามทำนม ไม่มีศัลยกรรม ไม่ทำจมูก ไม่ทำตา ไม่เสริมก้น เวียดนามก็เลยต้องการนางงามที่มาจากสายธรรมชาติ ซึ่งนี่ก็คือเป็นเงื่อนไขของแต่ละชาติไป
แต่สรุปว่า พอการประกวดเข้าสู่เวทีสากลปั๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มันมีการบรรจบกันแล้วระหว่างความงาม สติปัญญา สมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้คำถามเริ่มมีมากขึ้น เมื่อฝรั่งตั้งคำถาม เมืองไทยก็เริ่มตั้งคำถามบ้าง คือชอบเลียนแบบฝรั่งตลอดเวลา ตั้งคำถามเพื่อดูไหวพริบปฏิภาณ มีสติปัญญา และที่สำคัญที่สุด มันตามมาด้วยระบบบริโภคนิยม
ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบันนี้บริบทของการประกวดเริ่มมีการถกเถียงว่า ในการประกวดควรจะมีเรื่องการเมืองเข้ามาถามไหม เริ่มมีแล้วนะครับ ที่แน่ๆ คือเวทีใหญ่ของมิสยูนิเวิร์ส คนที่ได้ตำแหน่งมิสยูนิเวิร์ส ต้องทำหน้าที่เหมือนเป็นองค์กรๆ หนึ่ง มีจุดยืนที่ชัดเจน ต่อเรื่องสังคม ต่อเรื่องผู้หญิง ต่อเรื่องเด็ก ต่อเรื่องแรงงานทาส ต่อเรื่องโน้นต่อเรื่องนี้ คือคนที่จะเป็นมิสยูนิเวิร์สได้ตอนนี้ต้องมีจุดยืน จะไม่ใช่สวยอย่างเดียวแล้ว คำถามที่ตอบแต่ละคำถาม เริ่มมีความอ่อนไหวมากขึ้น และตรงนี้ล่ะครับที่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง
เพราะฉะนั้นแล้ว คำถามในหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นคำถามที่เกี่ยวกับการเมืองและความเป็นไปของโลกนะ กระแสต่างๆ ที่เกิดในโลก ท่านผู้ชมจำคุณมารีญา พูลเลิศลาภ ได้ไหม ในปี 2017 เป็น 5 คนสุดท้าย คำถามมีอยู่ว่า อะไรคือการขับเคลื่อนทางสังคม (Social Movement) ที่สำคัญที่สุดในยุคสมัยของคุณ เพราะอะไร คุณมารีญาจะต้องแสดงจุดยืนแล้วว่า ในสายตาของคุณมารีญา การขับเคลื่อนทางสังคมคืออะไร และเป็นอย่างไรบ้าง หรือว่าล่าสุด คุณฟ้าใสก็โดนคำถามแบบนี้ขึ้นมา คำถามของคุณฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น สำหรับคุณแล้ว สิ่งใดมีความสำคัญมากกว่ากัน ระหว่างความเป็นส่วนตัว กับความมั่นคง หลายคนที่เชียร์คุณฟ้าใสบอกว่าคำถามนี้จงใจ เหมือนกลั่นแกล้งให้คุณฟ้าใสสอบตก แต่ผมจะเรียนให้ท่านผู้ชมเข้าใจ
ท่านผู้ชมสังเกตอะไรไหม คำถามบ้านี่มันไม่เกิดขึ้นหรอก จนกระทั่งเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย หรือ 3 คนสุดท้าย มันจะมีคณะกรรมการชุดหนึ่ง เป็นทีมงานเลย เป็นคนคิดคำถามส่งให้กะทันหันทันทีเลย แล้วมันก็ดูว่านี่เป็นนางงามจากประเทศไหนๆๆ มันก็จะเอาปัญหาของประเทศนั้นๆ ตั้งขึ้นมา ตราบใดที่ปัญหาประเทศนั้นไม่เข้ามาตรฐานสากลที่มันตั้งเอาไว้
ผมจะอธิบายคำว่ามาตรฐานสากลก่อน มาตรฐานสากลในสายตาฝรั่ง คือสิ่งที่มันอยากให้ทุกคนในโลกทำตามมัน แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นสิ่งจอมปลอม เป็นของโกหกหลอกลวง
ผมว่ามองอีกมิติหนึ่ง หญิงไทย ทั้งคุณมารีญา ในปี 2017 (2560) และฟ้าใส ปวีณสุดา 2019 ได้รับคำถามที่มันเป็นปัญหาภายในประเทศไทย ที่เวทีประกวดอยากรู้ทัศนคตินางงาม ในฐานะเป็นตัวแทนประเทศ ว่ามองปัญหานี้ในแง่มุมไหน ถ้าจะถามผมตรงๆ นะ คำถามที่คุณฟ้าใสได้ เป็นคำถามที่บัดซบมาก เขาไม่ได้แกล้งหรอก แต่คนตั้งคำถาม ผมว่ามันสมองหมาปัญญาควาย เพราะว่ามันตั้งคำถามกว้างๆ กว้างมากจนกระทั่งตอบอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ปัญหาในโลกนี้มันไม่ใช่แค่กว้างอย่างเดียว มันประกอบด้วยมิติหลายมิติ ที่จะต้องอธิบาย ไม่ใช่ว่าเดินเลี้ยวซ้ายแล้วจบ เดินเลี้ยวขวาแล้วจบ ไม่ใช่แค่นั้น ถ้าเดินเลี้ยวซ้ายไปแล้วคุณไปเจอหลุม คุณจะทำอย่างไร ในระยะเวลา 2 นาที ที่คุณฟ้าใสต้องตอบ เป็นระยะเวลาที่สั้นมาก กับคำถามซึ่งมิติมันมีตั้งหลายสิบหลายร้อยมิติ ซึ่งผมจะอธิบายให้ฟังว่ามิติที่มันมีต่อ มันมีอะไรบ้าง
ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ถ้าสมมุติว่ามิสไชน่า นางงามจีน ได้เข้ารอบสุดท้ายแบบฟ้าใส ผมเชื่อว่าต้องมีคำถามว่า คุณมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในการพูด Freedom of Speech ซึ่งมันก็รู้ว่าในประเทศจีนคนที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คนที่จะวิพากษ์วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์ ไม่มีสิทธิจะพูดได้ เพราะฉะนั้นนางงามจีนก็ต้องตกม้าตายสิ แล้วคำถามของฟ้าใส คือระหว่างความเป็นส่วนตัว กับความมั่นคง คุณจะเลือกอะไร ท่านผู้ชมรู้ไหม คนตั้งคำถามมันยังไม่รู้เลย แม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีของมัน บารัก โอบามา ยังเคยพูดเลยว่า ในชีวิตจริงคุณไม่มีสิทธิที่จะได้ความมั่นคง 100 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีสิทธิที่จะได้ความเป็นส่วนตัว 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วคุณหวังที่จะได้ความมั่นคง 100 เปอร์เซ็นต์ และความเป็นส่วนตัว 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วความไม่สะดวกสบาย 0 เปอร์เซ็นต์ ไม่มี ความไม่สะดวกสบายต้องตามมา บารัก โอบามา ยังบอกเลยว่าไม่มีหรอกในโลกนี้ที่จะเอาความเป็นส่วนตัว 100 เปอร์เซ็นต์ ความมั่นคง 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นไปไม่ได้ เมื่อขนาดบารัก โอบามา ยังพูดแบบนี้ แล้วคนที่ตั้งคำถามมันตั้งขึ้นมาได้อย่างไร
ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังจะเล่าเหตุการณ์บางเหตุการณ์ให้ฟัง ให้ดู เหตุการณ์ที่สำคัญก็คือว่า วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เกิดเหตุการณ์ยิงคนตาย 14 ศพ ที่เมืองซาน เบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วคนที่ยิงเป็นชาวอาหรับ ชื่อนายซายเอ็ด ฟารุก ถูกยิงตาย ไอ้หมอนี้่ก็มีโทรศัพท์ไอโฟนอยู่ 1 เครื่อง ตำรวจกับเอฟบีไอก็เอาไอโฟนนี้ไป เพื่อจะดูว่ามีลิสต์รายชื่อใครบ้างอยู่ในนั้น ปรากฏว่ามันเปิดไม่ได้ พอเปิดไม่ได้ ก็ติดต่อไปที่แอปเปิล ขอให้แอปเปิลช่วยเปิดให้หน่อย หรือบอกว่าให้แอปเปิลทำประตูหลัง ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าแบ็กออฟฟิศ (Back office) เขียนซอฟต์แวร์ประตูหลังให้เข้ากับไอโฟนทุกรุ่น ที่อีกหน่อยถ้าเจ้าหน้าที่รัฐต้องการจะหาข้อมูล ก็สามารถเข้าแบ็กออฟฟิศ แล้วก็จะดูได้ทันที ทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิลไม่ยอม บอกว่าไม่ได้ นี่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของคน ถ้าผมต้องเขียนซอฟต์แวร์ แบ็กออฟฟิศ เข้าไอโฟนทุกรุ่น ผมกำลังกระทบสิทธิส่วนบุคคลของคนหลายร้อยล้านคนที่ใช้ไอโฟน เอฟบีไอก็ไม่ยอม ก็ไปฟ้องศาล พอฟ้องศาลสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ศาลขณะที่พิจารณายังพูดจาในทำนองให้แอปเปิลหาทางช่วย ช่วยเจ้าหน้าที่เอฟบีไอหน่อย เพื่อเปิดดู ทิม คุก ก็ไม่ยอม เรื่องราวก็เลยดำเนินไปเป็นเรื่องราวใหญ่โตมากเมื่อปี 2558 ท่านผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามข่าวต่างประเทศอาจจะไม่รู้ แต่ผมรับทราบ ผมยังจำชื่อได้เลย คนยิง คือซายเอ็ด ฟารุก ซาน เบอร์นาดิโน 14 ศพ
จนในที่สุด ทิม คุก ก็ไม่ยอม ก็พร้อมจะแถลงศาล คือที่อเมริกา ก่อนจะดำเนินคดี หรือก่อนที่ศาลจะพิพากษา โจทก์และจำเลยจะต้องแถลงต่อศาล ว่าที่ผมไม่เห็นด้วยเพราะอะไร 1..2..3..4..5..6.. โจทก์ก็บอกว่าที่ผมต้องการอย่างนี้เพราะอะไร 1..2..3..4..5..6.. เผอิญเอฟบีไอเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้ว เป็นเรื่องใหญ่ที่ทีวีทุกช่องพูดกันหมด ไม่ว่าจะเป็นฟอกซ์นิวส์ ไม่ว่าจะเป็น CNBC ในที่สุดแล้ว เรื่องราวมันเริ่มลุกลาม เพราะมันเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งในตะวันตกมีความแคร์มากในเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล
ที่ตะวันตกนั้น เวลาคุณจะให้เจ้าหน้าที่ดักฟังโทรศัพท์ใคร คุณต้องขอหมายศาลนะ คุณไม่ขอหมายศาล คุณทำไม่ได้ ถือว่าคุณมีความผิด แล้วข้อมูลที่คุณได้จากการดักฟังโทรศัพท์ ถึงแม้จะระบุว่าผู้นั้นผิดจริง คุณก็แพ้คดีในศาล เพราะคุณไม่ได้ขอหมายศาล
ในที่สุดเอฟบีไอบอกว่า ถอนคดีนี้ เหตุผลที่ถอนเพราะมันอ้างว่ามันจะสามารถจะเจาะเข้าไปในไอโฟนของนายฟารุกด้วยตัวเองได้แล้ว ก็คือ แหล่งข่าวว่ากันว่า บริษัทที่เข้ามาช่วยเอฟบีไอทำ ก็คือบริษัทของอิสราเอล สามารถเจาะเข้าไปได้ เรื่องก็เลยยุติเพียงแค่นั้น แต่ผมกำลังจะชี้ให้เห็น แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกา เส้นแบ่งระหว่างความมั่นคงกับความเป็นส่วนตัว มันมีสองฟาก มันเถียงกันไม่จบไม่สิ้น บารัก โอบามา ก็ยังออกมาพูด และท่านผู้ชมลองหลับตาวาดภาพสิ แล้วมันทะลึ่งเอาคำถามบัดซบนี้มาถามฟ้าใส
ท่านผู้ชมเริ่มเห็นมิติหรือยัง มิติความมั่นคงมีกี่มิติ ความมั่นคงของใคร ตีว่าความมั่นคงของ คสช. ของรัฐบาลชุดนี้ ก็ถามว่าเอามาตรฐานอะไรมาวัด ก็บอกว่า อะไรที่เป็นอันตรายต่อรัฐ ถือว่าทำลายความมั่นคง เขาก็ถามต่ออีกเหมือนกัน แล้วผมจะไว้ใจคุณได้อย่างไรถ้าผมให้สิทธิคุณทำอย่างนี้กับประชาชน ผมจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะว่าโดยพื้นฐานทางการเมืองแล้ว คนที่มีอำนาจกฎหมายในเรื่องนี้ มักจะรังแกคนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามตลอดเวลา ไม่มีหรอกครับ แม้กระทั่งในอเมริกาก็เป็นเช่นนี้ ในเมืองไทยก็เป็นเช่นนี้
เขาก็ถามต่อนะ แล้วจีนล่ะ จีนมีซอฟต์แวร์ มีกล้องจับภาพหน้าตา ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Face Recognition จีนมีทั่วประเทศเลย ที่ซินเกียง โน่นนี่นั่น มันมีจับภาพได้ และก็เข้าสู่ Big Data, Database ว่ารูปนี้คือรูปใคร แล้วจีนมันพัฒนาซอฟต์แวร์มา ณ วันนี้ที่ทราบนะ ท่านผู้ชมเตรียมพร้อมหรือยัง ผมจะเล่าให้ฟัง มันเริ่มพัฒนา ไม่ใช่แค่หน้าแล้วนะ ท่าทางการเดินด้วย มันพัฒนาได้จริงๆ ก็ถามว่าประชาชนจีน 1,400 ล้านคน เดือดร้อนไหม นี่คือมิติความมั่นคงกับความเป็นส่วนตัวนะ เมื่อกี้พูดถึงอเมริกา ทิม คุก แอปเปิลเดือดร้อน คนที่ใช้ไอโฟนเดือดร้อน แต่ 1,400 ล้านคนที่อยู่ประเทศจีนเขาไม่เดือดร้อน เพราะอะไรเขาถึงไม่เดือดร้อน เพราะมันเป็นรากเหง้าวัฒนธรรมของจีน
ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าในยุคที่จีนยังไม่เปิดประเทศ ยุคพ่อแม่ของคนรุ่นใหม่ ยุคนี้ในประเทศจีน ปู่กับย่า สมัยนั้นจะมีคนสอดแนม พรรคคอมมิวนิสต์จะสอดแนมตลอดเวลาว่าใครจะเป็นอันตรายต่อพรรคคอมมิวนิสต์บ้าง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าผมเข้าประเทศจีนเมื่อปี 2535 ยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว นานแล้วนะ ตอนที่จีนยังไม่เปิดประเทศ
ผมเคยไปโรงเรียนที่บ้านนอก เขาเชิญไปดู ผมจะเข้าไปในห้องน้ำ ผมเดินเข้าไปผมก็เจอผู้หญิง ขอประทานโทษท่านผู้ชม นั่งอุจจาระอยู่ในห้องน้ำ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือประตูไม่มีปิด ผู้หญิงนั่งยองๆ อยู่เลยนะ ผมก็ตกใจ ผมถามไกด์ที่พาไป เจ้าหน้าที่ที่พาไป ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าสังคมคอมมิวนิสต์เป็นแบบนี้ คือทุกอย่างต้องเปิดเผยหมด เขากลัวว่าคนนี้จะเป็นกบฏ คนนี้จะเอาข้อมูลให้คนนั้น เพราะฉะนั้นห้องส้วมยังไม่มีประตูปิด มีแต่ฝากั้นข้างๆ ท่านผู้ชมเห็นไหม นี่คือวัฒนธรรมรากเหง้าของจีนที่เขามีมาตลอด เพราะฉะนั้นจีนก็เลยไม่รู้สึกกับเรื่องนี้ เพราะจีนมีความรู้สึกว่า คนที่เขาไม่รู้สึกเพราะเขาถือว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่ต้องกลัว เขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย อยากจะมี Face Recognition ก็มีไปสิ ไม่เสียหายอะไรทั้งสิ้น แล้วเราจะว่าอย่างไรในกรณีจีน มันเข้ามาตรฐานอเมริกาหรือเปล่า ไม่เข้า อเมริกามีวัฒนธรรมและมีที่มาที่ไปอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าจีนมีอีกแบบหนึ่ง
ผมก็ถามว่า ความมั่นคง กับ ความเป็นส่วนตัว มิติที่คุณถาม คุณหมายถึงอะไร ก็แสดงว่ามันหมายถึงมิติแห่งความเป็นสากลของมัน ว่าในสากลนี้จะต้องยืนยันในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ความมั่นคงจะต้องมาทีหลัง เอาล่ะ ตรงนี้ไงที่ผมจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง เพราะฉะนั้นแล้วการกำหนดมาตรฐานสากลให้ทั่วโลกยอมรับ ปรากฏว่าทางตะวันตก โดยผู้ริเริ่มเป็นอเมริกาจะเป็นคนกำหนด และอเมริกาก็เป็นตัววายร้ายที่สำคัญ เพราะมันเป็นประเทศที่สองมาตรฐานที่สุด
ผมจะยกตัวอย่าง มาตรฐานสากลทางเศรษฐกิจที่มันกำหนด มีอะไรบ้าง ท่านผู้ชมที่อายุเท่าผม หรืออายุน้อยกว่าผม อายุสัก 40-50-60 ปี ยังจำได้ถึงวิกฤตต้มยำกุ้งได้ใช่ไหม 2540 ที่เศรษฐกิจทุกอย่างเจ๊งสลายหมดในประเทศไทย ปรากฏว่าในช่วงนั้น ไอเอ็มเอฟ ซึ่งเป็นของยุโรป เวิลด์แบงก์ ของอเมริกา มันขู่ประเทศไทยมาว่า ห้ามไม่ให้รัฐบาลไทย ห้ามไม่ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย มาอุ้มหนี้เอกชน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าทำไมมันห้าม มันห้าม มันอ้างเพราะว่าเป็นการกระทำที่ไม่โปร่งใส แต่นัยคือ ถ้าไม่อุ้ม ทุกคนก็เจ๊งหมด พอเจ๊งหมดมันจะได้เข้ามาในประเทศไทย เพื่อมาซื้อทรัพย์สินราคาถูกแล้วมาขายคนไทยอีกทีหนึ่ง นี่คือสันดานของมัน นี่คือมาตรฐานที่มันตั้งไว้นะ ท่านผู้ชมจำให้ดีๆ นะ
พอมาปี 2008 อีก 11 ปีให้หลัง อเมริกาเจอวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ที่เขาเรียกวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เพราะมันเกิดที่อเมริกา เพราะอเมริกามันเป็นดินแดนแฮมเบอร์เกอร์ แล้ววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เกิดจากอะไร เกิดจากซับไพรม์ (subprime) คือการปล่อยกู้ คนกู้บ้านไปที่หนึ่งแล้ว ก็สามารถจะไปกู้เพิ่มโดยเอาหลักทรัพย์อันเดียวกัน ค้ำแล้วค้ำอีก วิกฤตครั้งนั้นยิ่งใหญ่มากในอเมริกา ถึงกับทำให้สถาบันการเงินที่ยิ่งใหญ่มากๆ อย่างเช่นมอร์แกน สแตนลีย์ เจ๊งกะบ๊งเลย ตั้งมาเป็นร้อยปียังเจ๊ง AIA บริษัทประกัน เจ๊ง เจเนอร์รัล มอเตอร์ส (GM) ที่ขายเชฟโลเรตในเมืองไทย ก็เจ๊ง แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าใครเข้ามาอุ้ม อเมริกาเข้ามาอุ้ม รัฐบาลมัน เข้ามาถือหุ้นก่อนเลย แล้วก็เอาเงินยัดใส่เข้าไปเพื่อให้กิจการมันดีขึ้น เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยขายหุ้นคืน แล้วทีประเทศไทย ตอนที่เราเจ๊งทำไมไม่ให้รัฐบาลมาอุ้ม มันก็เลยทำให้คนโดนพิษปี 2540 โดนตั้งแต่ 2540 มาจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่หายเลย
นี่ไง ท่านผู้ชม นั่นคือมาตรฐานที่มันตั้ง ให้เป็นสากล ให้ทุกคนทำตาม แล้วตัวมันทำตามหรือเปล่า ตัวมันก็ไม่ทำตาม มันบอกว่า Privacy กับ Security ให้ฟ้าใสตอบ แต่ของมันเองมันก็ให้เอฟบีไอไปบังคับให้แอปเปิลเปิดโทรศัพท์มือถือเข้าแบ็กออฟฟิศ ท่านผู้ชม มันบัดซบไหม นี่คือลักษณะสองมาตรฐานที่เกิดขึ้นจริงๆ แล้วมันก็มาอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่อยู่ในวงการนางงามอย่างเดียวนะ มันอยู่ทุกวงการ มันต้องมีมาตรฐานของมัน อย่างเช่นมาตรฐานเรื่องประชาธิปไตย มาตรฐานในเรื่องของสุขภาพ อย่างเช่นสุขภาพ บริษัทขายยา วันดีคืนดีมันก็บอกว่ามาตรฐานของคนที่เป็นความดัน เขาบอกสมัยก่อนความดัน 150 ยังโอเคอยู่ ตอนหลังมันเปลี่ยนมาตรฐานความดัน จาก 150 เหลือเพียง 130 อ้าวตายล่ะ คนที่ระหว่าง 130-150 ต้องทำอย่างไร ต้องซื้อยามันกิน แล้วล่าสุดกำลังจะเปลี่ยนความดันจาก 130 เป็น 120 ความดันของผม เฉลี่ยอายุขนาดนี้ เฉลี่ยประมาณ 120-140 ขึ้น-ลงประมาณนั้น เกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นตรงที่ว่ามันจะได้ขายยามากขึ้น และที่สำคัญที่สุด หมอเราก็ดันทะลึ่งไปยุ่งกับมัน เห็นด้วย เพราะว่าบริษัทขายยามันก็เอาเงินยัดให้หมอบางคน ขายยาแก้ความดันเพิ่ม เห็นหรือยังท่านผู้ชม
สรุปง่ายๆ ก็แล้วกัน ว่ามาตรฐานสากลที่มันตั้งขึ้นมา นับวันจะมีมากขึ้น ในแวดวงนางงามต้องเจอตลอดเวลา ไม่ต้องกังวล ท่านผู้ชมไม่สังเกตหรือว่าพอนางงามจักรวาลที่มาจากแอฟริกาใต้คนนี้ได้รับการสัมภาษณ์ มันมีคำถามที่มันเลือกไว้โดยเฉพาะส่งไปให้ นั่นคือคำถามเรื่องเกี่ยวกับการเหยียดสีผิว มันต้องการให้นางงามแอฟริกาใต้ตอบแล้วมันกินใจคนทั่วโลก ให้โลกมันสวย ว่าการเหยียดผิวไม่มี ผิวสีอะไรก็เหมือนกันหมด มันเท่ มันสวยงาม มันสง่างาม เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือมิสยูนิเวิร์สไง นี่คือมิสยูนิเวิร์ส ถ้าเกิดฟ้าใสตอบว่า ฉันมั่นใจ ฉันชอบในเรื่องของความเป็นส่วนตัว มันก็จะบอกว่าเท่ ถูกต้อง ฟ้าใสอาจจะได้เป็นมิสยูนิเวิร์สก็ได้ แต่ในข้อเท็จจริงผมเชื่อว่าฟ้าใสเขาก็รู้ ทุกคนก็รู้ว่าความมั่นคงของแต่ละประเทศ และความเป็นส่วนตัวของแต่ละประเทศ ไม่เหมือนกัน เอาล่ะ ในประเทศประชาธิปไตยก็มีความเป็นส่วนตัวสูง ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดประชาธิปไตยของทักษิณ ชินวัตร ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทุกยุคทุกสมัย ท่านผู้ชมครับ รัฐดักฟังโทรศัพท์ตลอดเวลา นี่ไงในยุคประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามันหน้าไหว้หลังหลอกมาก ใช่ไหม คำถามพวกนี้
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็มีเรื่องเพียงแค่นี้ เรื่องของคนที่ใช้คำหยาบในเพจของผมนั้น ตอนนี้ก็น้อยลงไปเยอะมาก แทบจะไม่มีแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าผมไม่ดำเนินคดีนะครับ ผมวางคิวไว้แล้วมีอยู่อีก 6 คน และผมจะเปิดเผยให้ท่านทราบ และทนายผมจะเดินหน้าฟ้องทีละคน งานนี้คงจะไม่มีประนีประนอม นอกจากศาลจะขอร้องให้ประนีประนอม ถ้าศาลขอร้อง ผมก็ต้องตั้งเงื่อนไขของผมสูง แต่อีก 6 คนโดนแน่ 6 คนนี้จะต้องโดนในกรณีใช้คำหยาบด่าผม ต่อจากนั้น คิวต่อไป ก็จะเป็นพวกที่ด่าผมว่าโกงเงินธนาคาร ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมหรือคนที่ด่าผมนั่งฟังอยู่ คุณมีหน้าที่พิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าผมโกงอย่างไร คุณพิสูจน์ไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้โกง แล้วที่ด่าผมว่า เป็นเพราะมึงคนเดียวที่ทำให้ชาติแตกแยก คุณก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าผมทำให้ชาติแตกแยกอย่างไร ไม่เป็นไร ของคุณยังมีเวลาหายใจอยู่ ของคุณจะเป็นคิวต่อไป ผมขอจัดการคิว 6-7 คนนี้ก่อน ที่ให้ของลับผม เรียกผมไอ้เหี้ย เรียกผมไอ้ส้นตีน ท่านผู้ชม ขอให้เข้าใจนะครับ ผมเดินหน้าสุดซอยเรื่องนี้ เพราะว่าผมต้องการสร้างบรรทัดฐานให้กับวงการโซเชียลมีเดีย จริงๆ ครับ ต้องการสร้างบรรทัดฐาน เป็นครั้งเดียว ผมเข้าไปในเว็บไซต์ของต่างประเทศ หลายคน เขาไม่ได้หยาบคายเหมือนของเราเลย ไม่ได้หยาบคาย อย่างเช่นเขาจะพูดคำว่า Fuck you เขาก็ใส่ F แล้วก็จุดๆๆ แล้วก็ y จุดๆๆ ก็ยังโอเค นี่ให้ของลับ ค-ว-ย ให้ผมโดยตรงเลย เรียกผมไอ้เหี้ย ไอ้ส้นตีน มันรับไม่ได้
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์หน้าก็คงจะมีเรื่องราวสนุกสนาน ถ้าท่านชอบรายการนี้ แชร์ไปเยอะๆ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบนะครับว่าโอกาสเดียวที่เราจะเปลี่ยนแปลงชาตินี้ได้ คือเราต้องให้ปัญญาคน ถ้าท่านคิดว่าสิ่งที่ผมให้ปัญญาท่านมีประโยชน์ ท่านอยากให้คนอื่นรับทราบด้วย ท่านแชร์ไปเลย แชร์ไปเยอะๆ ครับ ของเราเฉลี่ยแล้ว รายการหนึ่งแชร์กันพันกว่าราย ซึ่งถือว่าสูง แต่ผมยังอยากเห็นสูงกว่านี้ ส่วนจะกดไลก์ หรือไม่กดไลก์ ไม่เป็นไร ขอให้ฟอลโลว์มาเยอะๆ ก็แล้วกัน
พรุ่งนี้วันเสาร์ มะรืนวันอาทิตย์ ก็จะก้าวข้ามกลางเดือนแล้ว ขอให้ท่านผู้ชมถูกหวยกันทุกคน แต่อย่าไปเสียใจถ้าถูกกินนะครับ คือถ้ามันไม่ถูกหวย ก็ถูกกิน ขอให้มีความสุขในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ สวัสดีครับ