ครม.เห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 วงเงิน 923,332,332.80 ล้านบาท พร้อมไฟเขียวเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์
วันนี้ (11 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบกำหนดประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ที่ความชื้น 14.5% กิโลกรัมละ 8.50 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ไร่ โดยเริ่มเพาะปลูกระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – วันที่ 31 พฤษภาคม 2563
เกษตรผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกและแจ้งระยะเวลาเก็บเกี่ยวกับกรมส่งเสริมเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
การจ่ายเงิน รัฐบาลจะเริ่มจ่ายเงินงวดแรกในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 สำหรับเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2562 และจะจ่ายต่อไปในทุกวันที่ 20 ของเดือน จนถึงระยะเวลาสิ้นสุดการรับสิทธิตามโครงการฯ คือ 31 ตุลาคม2563 โดยมี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง
ทั้งนี้ ครม.ยังเห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตร ปี 2562/63 วงเงิน 1,500 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อนละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน วงเงินชดเชย 45 ล้านบาท
ซึ่งทาง ธ.ก.ส.เป็นผู้จัดสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และวิสากิจชุมชนที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และหรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมและรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อจำหน่ายต่อ แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมามาก
นอกจากนี้ ครม.ยังรับทราบมาตรการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2562/63 ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) เสนอ มีรายละเอียดดังนี้
1.การบริหารจัดการการนำเข้า โดยกำหนดช่วงเวลาการนำเข้าให้นำเข้าเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – สิงหาคม ของทุกปี ยกเว้นองค์การคลังสินค้า (อคส.) หากมีนโยบายให้นำเข้าการควบคุมการขนย้ายในพื้นที่ติดชายแดนเพื่อนบ้าน กำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็น 1 ต่อ 3 การตรวจสอบการลักลอบการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายความมั่นคงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
2.การดูแลความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กำหนดให้ผู้รับซื้อต้องแสดงราคา ณ จุดรับซื้อที่ความชื้น 14.5% และ 30% พร้อมแสดงตารางการเพิ่มลดราคาตามเปอร์เซ็นต์ความชื้น และกำหนดให้ใช้เครื่องชั่งน้ำหนักและเครื่องวัดความชื้นที่มีมาตรฐาน
3.การดูแลความสมดุล โดยแจ้งปริมาณการครอบครอง การนำเข้า สถานที่เก็บ และการตรวจสอบสต็อก
4.เพิ่มช่องทางการจำหน่าย โดยเชื่อมโยงผลผลิตกับผู้รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
5.สนับสนุนให้ผู้ประกอบการการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เก็บสต๊อกผลผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และหรือใช้วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ ให้สามารถรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรโดยไม่ต้องเร่งระบายผลผลิตและเก็บสต๊อกไว้ เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาดโดยไม่แทรกแซงกลไกตลาด
ทั้งนี้ ครม.ยังเห็นชอบเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้การกำกับดูแลมาตรฐานสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค การขายสินค้าเกษตร และเศรษฐกิจของประเทศ ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของเครื่องหมาย การใช้เครื่องหมาย และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งมีสาระสำคัญคือ เพิ่มเติมการกำหนดเครื่องหมายรับรองมาตรฐานทั่วไปสำหรับสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นการเฉพาะ จากเดิมที่มีแค่เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรตามมาตรฐานบังคับ และมาตรฐานทั่วไป
สำหรับเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ มีลักษณะเป็นรูปวงกลมขอบสีดำ พื้นสีขาว ด้านล่างมีอักษรว่า “ผลิตภัณฑ์อินทรีย์” สีเขียวเข้ม ภายในมีรูปวงกลมสีเขียวอ่อนและมีภาษาอังกฤษว่า “Organic” สีเขียวเข้มอยู่เหนืออักษรภาษาอังกฤษว่า “Thailand” สีดำใต้อักษรภาษาอังกฤษมีลายเส้นสามเส้น สีแดง สีน้ำเงิน และสีแดง ตามลำดับ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯจะมีการให้ความรู้ความเข้าใจในการขอรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรแต่ละชนิด รวมถึงการใช้และการแสดงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสำหรับสินค้าเกษตรโดยเฉพาะสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถขอรับรองสินค้าเกษตรและนำเครื่องหมายไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
กฎกระทรวงฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ผู้ใดที่ไม่ได้รับใบรับรองมาตรฐานแต่นำเครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรไปใช้ จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 60 พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร