“หมอวรงค์” ยกความน่ากลัวของฮ่องกง ที่ใช้ NGO ต่างชาติ ล้างสมองเยาวชนจน “ชังชาติ” ในการร่วมชุมนุมทางการเมือง และถูกจับหลายคน คล้ายที่กำลังเกิดในไทย ร้อนถึงส.ส.อนาคตใหม่ ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง “ป่วยแล้ว!”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(6 ธ.ค.62) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม CEO พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) โพสต์ข้อความหัวข้อ “ลัทธิชังชาติกับม็อบฮ่องกงความเหมือนที่ไม่แตกต่าง !!!”
โดยระบุว่า ความเคลื่อนไหวของลัทธิชังชาติในเมืองไทย ใช้รูปแบบที่สอดคล้องกับฮ่องกง โดยอาศัยNGOต่างชาติ ก่อนจะปลุกม็อบใหญ่ เขาจะใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือ
ข้อมูลรายงานว่า เด็กอายุน้อยสุดที่ถูกศาลฮ่องกงตัดสินคือ 12 ปี ล่าสุดศาลฮ่องกงเพิ่งตัดสินเด็กอายุ 15 และ17 ปี ที่ทำลายทรัพย์สินสาธารณะในช่วงม็อบ โดยให้ผู้ปกครองชดใช้คนละ 1.1 ล้านบาทไทย และเด็กเข้าสถานพินิจ
ม็อบฮ่องกง ถูกจับกว่า 4,000 คน ในจำนวนนี้กว่า 80% เป็นเด็กมัธยม อาชีวะ ประถม การปลุกระดมของ NGO ต่างชาติ จะมีจุดเอกลักษณ์ปลุกระดมคือ
1. โปรยใบปลิว 2. ขีดเขียนวาดภาพ และเสปรย์บนกำแพงสาธารณะ 3. ขว้างกระจกรถยนต์จากสะพานลอย
4. จัดสัมมนาแอบแฝงปลุกระดม 5. จัดค่ายเยาวชนล้างสมอง(คล้ายกับพวกไม่ยอมจำนน) 6. ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ เช่น ไฟจราจร เครื่องขายตั๋ว ฯลฯ 7. ปล่อยเฟคนิวส์ปลุกระดมทางโซเชี่ยล
เป็นวิธีการมาตรฐานที่ NGO ต่างชาติ ใช้ปลุกม็อบเยาวชนทั่วโลก และภาพตามผนังกำแพงในกทม.เหล่านี้น่าสงสัยว่า เป็นฝีมือ NGO ต่างชาติเช่นกัน เพื่อให้รับกับแคมเปญของพวกลัทธิชังชาติในประเทศไทย
พ่อแม่ ผู้ปกครอง รวมทั้งคุณครู ผู้บริหารกระทรวงศึกษาทุกระดับ โปรดเอาใจใส่ ช่วยกันดูแลลูกหลานไทย อย่าให้ตกเป็นเหยื่อลัทธิชังชาติ #ปราบลัทธิชังชาติด้วยความจริง
สำหรับ “หมอวรงค์” เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.62 ที่ผ่านมา เขาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ว่า วันที่ 3 ธ.ค.62 ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย มีมติแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรค หรือ “ซีอีโอพรรค” มีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบาย และยุทธศาสตร์พรรคไปสู่การปฏิบัติ ภารกิจที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษคือ ปราบลัทธิชังชาติ.
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ เฟซบุ๊ก Jirat Thongsuwan ของ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคอนาคตใหม่ ออกมาโพสต์ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.62 หัวข้อ “เรียน คุณหมอวรงค์”
โดยระบุว่า คุณหมอครับ ถ้ากิจกรรมสอนน้องๆทำกระทงจากวัสดุที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และภาพที่สื่อสารถึงประชาธิปไตย รวมถึงภาพนายกฯบนกำแพง เท่ากับการชังชาติ
ผมว่าถึงเวลาแล้ว ที่คุณหมอต้องหาหมอครับ!
ผมแนะนำให้ปรึกษาคุณหมออ๋อง ส.ส.พิษณุโลกครับ แกจบด้านนี้มา #จะสร้างวาทะกรรมต้องหัดมีวาทศิลป์ด้วย
ทั้งนี้ อ้างถึง เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.62 หัวข้อ “ช่วยกันดูแลเด็กๆ”
นี่คือภาพตัวอย่าง ที่สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวในกลุ่มเด็กๆ เยาวชน ของกลุ่มที่มีแนวโน้มมีพฤติกรรมชังชาติ เพื่อปลูกฝังสิ่งผิดในสมองของเด็กๆ โดยเฉพาะข้อมูลเชิงติดลบ จะถูกจดจำได้ง่ายกว่าข้อมูลเชิงบวก
ทั้งเข้าไปปลุกระดมเด็กนักเรียนในโรงเรียน รวมทั้งการวาดภาพฝาผนัง เพื่อสร้างความเกลียดชังชาติ แก่เด็กๆของเรา ซึ่งในภาพวาดคือตำแหน่ง ซอยสุขุมวิท 58 ตำแหน่งที่เคยมีการวาดภาพเสือดำ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พวกลัทธิชังชาติ จะพุ่งเป้าไปที่เด็กๆ เพราะง่ายต่อการล้างสมอง ที่สำคัญคือผู้ใหญ่คงเริ่มรู้เท่าทันต่อคนเหล่านี้แล้ว
เห็นทีกระทรวงศึกษาธิการ และผู้บริหารโรงเรียนต่างๆ ตลอดจนพ่อ แม่ผู้ปกครอง จะปล่อยเรื่องนี้ไม่ได้แล้วครับ ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ก่อนที่สมองของลูกหลานเราจะมีแต่ความเกลียดชังประเทศ และกทม.ควรเข้าไปดูแลการวาดภาพในผนังสาธารณะที่ปลุกระดม ยั่วยุ ควรจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อเก็บหลักฐานดำเนินคดีการกระทำความผิด #ปราบลัทธิชังชาติด้วยความจริง
ก่อนหน้านี้ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ก็เคยมีพฤติกรรมเข้าไปรณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหารในโรงเรียนมาแล้ว และถูกนำเอามาโพสต์วิจารณ์ผ่านโลกโซเชียล
จนเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.62 เฟซบุ๊ก จุลเจิม ยุคล ของ ม.จ. จุลเจิม ยุคล หรือ “ท่านใหม่” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “ทำอะไรให้อยู่ในขอบเขตด้วยครับ”
สิ่งที่น่ากลัวที่พรรคอนาคตใหม่ทำกันในตอนนี้ ........ทำไม กระทรวงศึกษาธิการ (รัฐบาล) ทหาร ตำรวจ หน่วยความมั่นคง ถึงเพิกเฉยกัน ครับ หรือต้องรอให้ไฟไหม้บ้านก่อน ใช่ไหมครับ ???????
ด้านนายจิรัฏฐ์ กล่าวถึงกระแสโซเชียลรุมวิพากษ์วิจารณ์ และประณามถึงการเดินทางเข้าไปชักจูงเด็กและเยาวชนให้สนับสนุนแนวความคิด ยกเลิกการเกณฑ์ทหารในสถานศึกษาและในโรงเรียน ว่า สาเหตุที่ต้องเดินทางเข้าไปจนถึงภายในโรงเรียนนั้น เนื่องจากการนำเสนอกฎหมายในฐานะฝ่ายค้าน ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นั้นมันยากที่จะแก้กฎหมายหรือจะเสนอกฎหมายใหม่
เพราะจะต้องผ่านทั้งสภาผู้แทนราษฎร และต้องไปผ่านสภาของวุฒิสภา (ส.ว.) และยังมีโอกาสที่ทั้งสองสภา ทั้ง ส.ส.และส.ว. ฝ่ายรัฐบาล จะยื่นเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอีก ฉะนั้นการผ่านกฎหมายอะไรในยุคนี้จึงค่อนข้างยาก การรณรงค์เท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ เพราะประชาชนที่หนุนกฎหมายฉบับนี้จะเป็นตัวที่กดดันให้ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. เห็นด้วยกับโครงการนี้
ส่วนปัญหาผลกระทบต่อด้านความมั่นคงของประเทศนั้น เป็นเหตุผลของกองทัพที่พูดอยู่คนเดียว ที่เหตุผลของกองทัพมีน้ำหนัก มันสำคัญกว่าเหตุผลของคนที่ถูกกระทำ คนที่ได้รับผลกระทบอย่างเยาวชน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ... (77 ข่าวเด็ด 05 ธ.ค. 62)
นอกจากนั้น เฟซบุ๊ก Jirat Thongsuwan ยังโพสต์อีกว่า
ผมขอประนามการกระทำที่พยายามทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิด เป็นเรื่องไม่สมควร เพื่อต้องการทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะการกระทำแบบนี้นอกจากจะเป็นการดูถูกความคิดเยาวชนแล้ว ยังเป็นการคุกคาม กดดันคณะครูอาจารย์รวมถึงผู้บริหารโรงเรียน
การรณรงค์ในโรงเรียนเป็นเรื่องถูกกฎหมายครับ ไม่ไช่เรื่องร้ายแรงหรือเป็นภัยกับอนาคตของชาติ ในขณะที่วิชารักษาดินแดน หรือแม้แต่ยุวชนทหาร เป็นการยัดเยียดข้อมูลด้านเดียวที่ถูกทำให้เป็นกฎระเบียบที่บังคับใช้ กองทัพควรเปิดพื้นที่ให้น้องๆได้รับข้อมูลอย่างอิสระ เพราะผู้ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้โดยตรงคือน้องๆครับ ไม่ใช่กองทัพ ไม่ใช่รัฐมนตรี ไม่ใช่นายกฯ ถ้าไม่คุยกับน้องๆ จะให้ไปคุยกับใคร
ถ้าเราบอกว่าประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย ผู้ใหญ่ทั้งหลายในบ้านเมืองเราไม่มีสิทธิ์ไปคิดแทนน้องๆเหล่านี้ และที่สำคัญไม่มีสิทธ์ไปตัดสินว่าอนาคตของเยาวชนเหล่านี้จะต้องมาฝึกทหารเท่านั้น โดยอ้างประโยชน์ของชาติ ในขณะที่ไม่แยแสความรู้สึกของประชาชนในชาติเลย
ขณะเดียวกันวันนี้(6 ธ.ค.62) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก วิจารณ์ กรณีนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคอนาคตใหม่ ไปพูดเรื่องการเลิกเกณฑ์ทหารในโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ว่า
“กระทรวงศึกษา มีนโยบายส่งเสริมการเรียนรู้ระบอบประชาธิปไตยในหลาย ๆ มิติ ทั้งเรื่องสภานักเรียนก็ดี เรื่องการโหวตต่างๆ ในโรงเรียนก็ดี แต่การที่นักการเมืองหรือพรรคการเมือง ฉวยโอกาส และใช้กลวิธีต่างๆ เพื่อเข้าไปหลอกล่อ โฆษณาชวนเชื่อและยุยงให้เกิดความเกลียดชังในสังคมแก่เด็กและเยาวชน เป็นเรื่องเลวร้ายมาก ส.ส.ทุกคนทุกพรรคควรจะร่วมมือกันในเรื่องการศึกษา อย่าใช้เยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติเป็นเครื่องมือทางการเมืองเลยครับ ขอให้เป็นครั้งสุดท้าย”
(ข้อมูลจาก matichonweekly.com/)
ดูเหมือน เป้าหมายในการ “ปราบชังชาติ” ของ “หมอวรงค์” และ พรรค รปช. ชัดเจนขึ้นทุกวัน และ คำว่า “ชังชาติ” ที่หลายคนอาจคิดว่า เป็นเพียง “วาทกรรม” ที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมา ฆ่าอีกฝ่ายทางการเมือง มันเริ่มไม่ใช่อีกต่อไป มันเริ่มมีพฤติกรรมที่ทำให้หลายคนเริ่มออกมาเป็นแนวร่วม “หมอวรงค์” เพิ่มขึ้น และเริ่มไม่ไว้วางใจพรรคการเมืองบางพรรค ที่หัวหน้าพรรคก็เคยพูดเอาไว้อย่างชัดเจน ว่ามี “ฮ่องกง” เป็นแรงบันดาลใจ!?