“หมอวรงค์” เรียกร้องช่วยกันประณามใช้เด็กเป็นเครื่องมือรณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหาร อาศัยความอ่อนประสบการณ์หลายด้าน ขาดแยกแยะเรื่องการเมือง สากลไม่ทำกัน แม้แต่ภาพยนตร์ยังจัดเรตติ้ง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก ไม่เห็นด้วย และประณามการกระทำของพรรคการเมืองบางพรรค ที่ใช้เด็กนักเรียนมัธยมโรงเรียนแห่งหนึ่ง รณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหาร โดยไม่รู้สึกรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก เมื่อเด็กถูกล้างสมองด้วยข้อมูลด้านเดียว เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน
วันนี้(9 ธ.ค. 62) เฟซบุ๊กส่วนตัว นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ก็ได้โพสต์ ตอกย้ำ หัวข้อ “ช่วยกันประณามลัทธิชังชาติที่เข้าไปปลุกปั่นเด็กนักเรียน”
เราต้องยอมรับว่า การพิจาณาไตร่ตรองของเด็กๆ ที่ยังขาดประสบการณ์ในหลายๆมิติ ย่อมเป็นเหยื่อของพวกลัทธิชังชาติ ที่นำเสนอข้อมูลเลวร้าย สร้างความเกลียดชังเพียงด้านเดียว
ในทางสากล ขนาดภาพยนตร์เขายังต้องจัดเรตติ้ง การชมภาพยนต์ของเด็กๆ โดยจำแนกเด็กอายุ 13 ปี 15 ปี 18 ปี และ 20 ปี เท่ากับว่าขนาดภาพยนตร์ที่ไม่ซับซ้อน เขายังต้องคุ้มครองเด็กๆ เพราะเชื่อว่าเด็กๆยังไม่สามารถวิเคราะห์แยกแยะได้เท่าผู้ใหญ่
แต่นี่การเมืองที่มีความซับซ้อน ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลบต่อประเทศ ข้อมูลของการทำลายล้าง มันจึงยากต่อการตามทัน และตกเป็นเหยื่อของการล้างสมอง จึงไม่แปลกที่ลัทธิชังชาติจึงพยายามพุ่งเป้าไปที่เด็กๆและเยาวชนมากขึ้น
เราไม่ปฏิเสธที่นักการเมืองจะไปพบเด็กๆ แต่ต้องสร้างสรรค์ มีความรัก ความสามัคคี รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เสริมสร้างสิ่งดีๆแก่อนาคตเด็กๆ
ร่วมกันประนามลัทธิชังชาติ ที่จะใช้เยาวชนและเด็กๆเป็นเครื่องมือในการทำลายล้างประเทศ และขอเตือนว่าประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ยุวชนเร็ดการ์ดนั้นล้มเหลว
#ปราบลัทธิชังชาติด้วยความจริง
#ปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์
#ประนามลัทธิชังชาติหลอกเด็ก
แต่ปรากฏว่า บุคคลต้นเรื่อง ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เมืองแปดริ้ว ฉะเชิงเทรา ยังออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหน้าตาเฉยว่า มีความจำเป็นต้องรณรงค์กับเด็ก เพราะต้องการให้เด็กเป็นแรงกดดันให้ผ่านกฎหมายยกเลิกเกณฑ์ทหารของพรรค เนื่องจากกลัวกฎหมายไม่ผ่าน
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.62 เวลา 19.00 น. ที่ตลาดชายน้ำด้านหน้าที่ว่าการอำเภอบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคอนาคตใหม่ ออกมาเดินรณรงค์นโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารและกล่าวถึงกรณีที่ถูกกระแสโซเชียลรุมวิพากษ์วิจารณ์ และประณามการเข้าไปชักจูงเด็กและเยาวชนในโรงเรียน ว่า
สาเหตุที่ต้องเดินทางเข้าไปจนถึงภายในโรงเรียนนั้น เนื่องจากการนำเสนอกฎหมายในฐานะฝ่ายค้าน ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 นั้น มันยากที่จะแก้กฎหมายหรือจะเสนอกฎหมายใหม่
เพราะจะต้องผ่านทั้งสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ผ่านทั้งวุฒิสภา (ส.ว.) และยังมีโอกาสที่ทั้งสองสภา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. ฝ่ายรัฐบาล จะยื่นเรื่องนี้ให้กับศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอีก ฉะนั้นการผ่านกฎหมายอะไรในยุคนี้ จึงค่อนข้างยาก การรณรงค์เท่านั้นที่จะช่วยให้เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ เพราะประชาชนที่หนุนกฎหมายฉบับนี้จะเป็นตัวที่กดดันให้ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. เห็นด้วยกับโครงการนี้
ส่วนปัญหาผลกระทบต่อด้านความมั่นคงของประเทศนั้น เป็นเหตุผลของกองทัพที่พูดอยู่คนเดียว ที่เหตุผลของกองทัพมีน้ำหนัก มันสำคัญกว่าเหตุผลของคนที่ถูกกระทำ คนที่ได้รับผลกระทบอย่างเยาวชน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ
ถ้าเราไม่ถามเยาวชน โดยเฉพาะการลงไปถามถึงในโรงเรียน เราก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร ตัวอย่างโรงเรียนที่เพิ่งไปมาและเป็นข่าวอยู่นั้น ในโรงเรียนมีนักเรียนมัธยมปลายทั้งหมด ที่ได้เรียนนักศึกษาวิชาทหาร (รด.) แค่เพียง 3 คน 2 ใน 3 เป็นผู้หญิง โดยมีนักเรียนชายอยู่คนเดียวที่เรียน รด. แต่พอถามว่าใครอยากเกณฑ์ทหารไหม น้องๆ ก็ยกมือทุกคนว่าไม่มีใครอยากเกณฑ์
เมื่อถามต่อว่า แล้วทำไมไม่เรียน รด. ได้รับคำตอบว่าน้องๆ ทุกคนนั้นไม่มีเวลาไป เนื่องจากเสาร์-อาทิตย์ ต้องทำงาน อีกทั้งสถานที่ไปเรียน รด. ยังอยู่ไกลจากตัวอำเภอมาก ไม่มีทั้งค่าขนส่งไม่มีทั้งเวลา ถ้าเราไม่ลงพื้นที่แบบนี้ เราจะไม่รู้เลยว่ามันมีปัญหาแบบนี้อยู่ด้วย ฉะนั้น รด.ไม่ได้เข้าถึงทุกคนจริงๆ นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องลงไปจนถึงตัวน้องๆ เยาวชน...
ถามว่าจากกระแสโซเชียลที่มองว่าวิธีการลักษณะนี้ไม่สร้างสรรค์ ไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน แนวทาง ส.ส.มองว่าเป็นอย่างไร นายจิรัฏฐ์ ตอบว่า เราตัดสินไม่ได้หรอกว่าเหมาะสมกับเด็กหรือไม่ ในเมื่อเราบอกว่าอนาคตของชาติคือเยาวชนกลุ่มนี้ และถ้าหากอนาคตของชาติไม่รู้เรื่องอนาคตของบ้านเมือง ไม่รู้เรื่องของชาติแล้วเขาจะเป็นอนาคตของเราได้อย่างไร
การเมืองมันเป็นเรื่องของทุกคนอย่างที่ทุกท่านทราบ ถ้าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน น้องๆ ทุกคนที่จ่ายภาษีอยู่ทุกวัน ทำไมน้องๆ จะไม่มีสิทธิรู้เรื่องพวกนี้
อีกอย่างตนเองนั้นไม่สามารถที่จะไปโน้มน้าว หรือว่าล้างสมองน้องๆ ได้ น้องๆ ทุกคนมีความคิด มีเหตุผลเป็นของตนเอง เราต้องให้เกียรติพวกเขา ที่เขามีความคิดเป็นของตนเอง เราตัดสินไม่ได้หรอกว่า เขาจะคิดอย่างไรทำอะไร ต้องการแบบไหน ชอบแบบไหน ตนเองทำได้เพียงให้ข้อมูล
“จริงๆ แล้วกองทัพควรจะเปิดพื้นที่ตรงนี้มากกว่า ที่จะให้มีการรณรงค์ เราเห็นว่ามียุวชนทหาร เราเห็นว่ามี รด. นี่ก็เป็นการยัดเหยียดความคิดเหล่านี้ให้แก่น้องๆ อยู่แล้ว ทำไมการรณรงค์เรื่องแบบนี้แค่เพียง 5-10 นาที มันเป็นปัญหาอย่างไร”
เมื่อถามว่า หลังถูกกระแสโจมตีเกี่ยวกับการรณรงค์ลักษณะนี้ค่อนข้างรุนแรงแล้ว ยังจะเดินหน้ารณรงค์ต่อไปอีกหรือไม่
นายจิรัฏฐ์ ตอบอีกว่า เราจะเดินหน้าให้เต็มที่และจะเดินหน้าให้นักกว่าเดิม ซึ่งความจริงไม่ได้ไปแค่โรงเรียน แต่ไปทุกที่เช่นเดียวกันกับในวันนี้ที่มารณรงค์ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่เป็นชุมชนมีประชาชนมารวมตัวกันกินข้าวในตอนเย็นๆ ทั้งตลาดตามชุมชนหมู่บ้านก็ได้เข้าไปรณรงค์มาแล้วทุกที่ไม่ใช่แค่เฉพาะที่โรงเรียน
และหลังจากนี้ตั้งใจว่าจะไปยังในโรงเรียนให้มากยิ่งขึ้น หลังจากกระมีแสข่าวนี้มา ที่เราต้องทำให้เขาเห็นว่าการรณรงค์อย่างสันติมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร
ส่วนคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างนั้น เชื่อว่าไม่มีใครคิดเหมือนกันทุกคน ความแตกต่างมันทำให้เราได้ระดมสมองระดมความคิด ถ้าคิดไม่เหมือนกันถกเถียงกันด้วยเหตุและผล มันนำมาซึ่งสิ่งที่ดีกว่าเสมอ
แต่การที่เราไม่สามารถตั้งคำถามได้เลย ไม่สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้เลย อันนี้จึงเป็นจุดที่ทำให้ผู้มีอำนาจยังยึดครองอำนาจตรงนี้อยู่ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ประชาชนจะเข้าไปเกี่ยวเอาอำนาจนั้นกลับคืนมาบ้าง ในเมื่อคุณไม่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้คิดได้เลย ฉะนั้นคิดเห็นต่างกันคุยกันถกกันทำคมวามเข้าใจกัน เป็นสิ่งที่สังคมประชาธิปไตยควรจะมี
เอาเป็นว่า ประเด็น ไม่มีใครห้ามรณรงค์ เพียงแต่อย่าไปรณรงค์กับเด็กในโรงเรียน ซึ่งผลร้ายน่าจะมากกว่าผลดี ที่ทำให้พรรคการเมืองได้ประโยชน์เท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเด็นที่น่านำมาสู่การหาทางออกร่วมกันในสังคมมากที่สุด คือ ควรที่จะเอาเรื่องการเมืองซึ่งสลับซับซ้อน และเล่นเกมกันเป็นว่าเล่นอยู่ในเวลานี้ อย่างที่ “หมอวรงค์”ว่า ไปรกสมองเด็ก หรือ ล้างสมองเด็กให้เชื่ออย่างที่พรรคการเมืองเชื่อหรือไม่
อย่าลืมว่า ที่บ้านเมืองวุ่นวายมาจนถึงทุกวันนี้ ประชาชนถูกปั่นหัวให้แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งแยกสีเสื้อ สู้กันเอาเป็นเอาตาย วันนี้ก็ยังคงอยู่ นั่นขนาดผู้ใหญ่ หลายคนมีความรอบรู้ มีประสบการณ์มาเกือบค่อนอายุ ก็ยังหลงเชื่อ หรือรับข้อมูลด้านเดียว แต่นี่เป็นเด็ก คิดดูเอาเถิดว่า ทำสำเร็จจะเกิดอะไรขึ้น แทบไม่อยากคิดเหมือนกัน!