“สุทิน” ประธานวิปฝ่ายค้าน รับรู้ล่วงหน้ามี “งูเห่า” แต่ไม่ทราบจำนวน เชื่อ “พลภูมิ” มีเหตุผลเรื่องคดี ส่วน “พรพิมล-ขจิตร” เซอร์ไพร์สต้องรอคำชี้แจง เตรียมประชุมวิปเช็กแถวผู้แทนฯ ฝ่ายค้านที่เหลือเดินงานต่อ เปิดทางพรรคร่วมเปิดแนวทางได้ รู้ดีเสียงฝ่ายค้านแพ้ รบ.วันยันค่ำ “อนุดิษฐ์” ซัดการเมืองเสื่อม ผู้มีอำนาจขู่เพื่อนร่วม รบ. ประธานภาค กทม.มั่นใจ “พลภูมิ-ครอบครัว” มีฐานะ ไร้เรื่องผลประโยชน์
วันนี้ (5 ธ.ค.) นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมฝ่ายค้าน เปิดเผยถึงกรณีที่มีเสียง ส.ส.ของฝ่ายค้านจำนวน 10 ราย แสดงตนเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาญัตติด่วนขอให้สภาผู้แทนราษฏรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการใช้ศึกษาผลกระทบจากประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการใช้อำนาจของหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า การล็อบบี้เพื่อให้ได้องค์ประชุมครบของฝ่ายรัฐบาลในครั้งนี้เป็นการลงทุนที่สูงมาก ถือว่าไม่ผิดคาด เพราะเราเชื่อว่าหากรัฐบาลทำทุกวิถีทางก็คงต้องออกมาเป็นเช่นนี้ โดยเรารู้ความเคลื่อนไหวมาก่อน แต่ไม่ทราบแน่ว่ามีกี่คน ซึ่งทุกพรรคก็ดูแลลูกพรรคตัวเอง ส่วนเสียงของพรรคเพื่อไทยที่แตกไป 3 เสียงนั้นก็คาดหมายผิดไป 2 คน กรณีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้มีคดีชี้เป็นตายทางการเมืองจนอาจจะต้องย้ายพรรคอยู่แล้ว ส่วน น.ส.พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทยนั้นไม่ได้คาดหมาย เพราะอยู่กับพรรคและทำงานดี มีวินัยมาตลอดก็ต้องให้โอกาสชี้แจง ขณะที่นายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไร แต่การประชุมวันที่ 28 พ.ย.ที่สภาล่ม นายขจิตรก็เป็นคนเดียวของฝ่ายค้านที่นั่งองค์ประชุมให้ฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ชี้แจงว่าเสียบบัตรคาไว้เหมือนครั้งนี้ก็รับฟังไว้ และคงต้องให้โอกาสชี้แจง
“ในส่วนของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่แสดงตัวเป็นองค์ประชุม 3 คนนั้น กรณีคุณพลภูมิ เราไม่แปลกใจ เพราะเข้าใจและทราบมาก่อนว่าเขามีบุญคุณต่อกันเรื่องคดีก่อนหน้านี้ ส่วนที่เหลืออีก 2 คน (นายขจิต ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี และ น.ส.พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี ถือว่าผิดคาด เราจึงยังต้องรอฟังเหตุผลของเขาก่อน” นายสุทินระบุ
ส่วนการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านหลังจากนี้นั้น นายสุทินกล่าวว่า ในส่วนของวิปฝ่ายค้าน หลังจากนี้คงมีการประชุมเปิดอกคุยกันว่า ใครจะยังคงจุดยืนและทำงานร่วมกันต่อ หรือใครจะประสงค์ทำงานการเมืองในแนวทางอื่น ซึ่งเราไม่มีการบังคับกัน เพราะการมาทำงานร่วมกันของฝ่ายค้าน เป็นเพราะกระแสสังคมส่งมา ถ้าใครจะวิเคราะห์ว่า กระแสสังคมเปลี่ยนไปจะเลือกการเดินการเมืองแนวทางอื่นก็เป็นสิทธิ หลังจากนี้เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เราเหลือ ส.ส.เท่าใดก็ทำงานได้ เพราะถึงอย่างไรจำนวนเสียงของฝ่ายค้านย่อมสู้รัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว แต่คุณภาพและจุดยืนที่แน่วแน่เท่านั้นที่จะเป็นอาวุธของฝ่ายค้าน
ขณะที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวการเตรียมของฝ่ายรัฐบาลก่อนการพิจารณาญัตติดังกล่าว ทราบว่าเขาพยายามระดม ส.ส.ทั้งหมดเพื่อเปิดประชุมและลงมติล้มมติตั้งกรรมาธิการ ม.44 ที่แพ้ไปก่อนหน้านี้ให้ได้ โดยเงื่อนไขต้องมีองค์ประชุมให้ครบ 249 เสียง และต้องหาหนทางพลิกเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ 6 เสียงที่โหวตสวนทางของรัฐบาล ซึ่งตนเองได้รับรายงานจาก ส.ส.หลายคนของพรรคที่ถูกทาบทามจากบุคคลสำคัญของรัฐบาลที่เสนอผลประโยชน์บางอย่างเพื่อให้สนับสนุนรัฐบาลแก้ไขข้อขัดข้องที่รัฐบาลมีอยู่ อีกทั้งยังได้ยินข่าวปล่อยว่าหากสภาล่มในครั้งนี้อาจมีการยุบสภา ดังนั้นเมื่อผลออกมาตามที่เห็นกัน
“ไม่คิดว่าการเมืองไทยจะเดินมาถึงจุดที่มีความเสื่อมได้รวดเร็วขนาดนี้ ผมไม่เคยเชื่อว่าการเมืองวันนี้ผู้มีอำนาจเลือกใช้วิธีข่มขู่พรรคตัวเอง หรือพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อควบคุมลูกน้องหรือทีมงานให้เกิดความเกรงกลัวจนต้องทำตามผู้มีอำนาจไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม มันเท่ากับสะท้อนให้เห็นว่าผู้มีอำนาจของบ้านเมืองในตอนนี้ไม่ได้ยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างที่พยายามกล่าวอ้างมาโดยตลอด เห็นแต่ภาพการต่อรองกดดันข่มขู่ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอกล้วย เพื่อจูงใจให้กับ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ย่อมไม่ใช่การปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้นอย่างที่กล่าวอ้างแต่เป็นการนำการเมืองไทยถอยหลังไปเหมือนปี 2518” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว
ในส่วนมาตรการกับ 3 ส.ส.เพื่อไทย ที่ไปแสดงตนเป็นองค์ประชุมนั้น น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่พรรคจะปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกไม่ได้ ส่วนตัวเห็นว่าพรรคต้องกำหนดมาตรการในการดำเนินการกับบุคคลที่สวนมติพรรค พรรคเพื่อไทยมีระเบียบข้อบังคับและวิธีการในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งจะเปิดโอกาสให้บุคคลดังกล่าวได้ชี้แจงกับพรรคเสียก่อน ส่วนจะมีมาตรการอย่างไรเมื่อได้ข้อยุติจะรายงานผ่านสื่อให้ประชาชนทราบ เพราะคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่ในขณะนี้ต่างรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของสมาชิกที่สวนมติพรรคในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
ด้านนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายพลภูมิ แสดงตัวเป็นองค์ประชุมให้กับฝ่ายรัฐบาลว่า ตนรู้จักนายพลภูมิ และครอบครัวมานาน ตั้งแต่นายพลภูมิเริ่มเข้าการเมืองมาเป็นผู้ช่วย ส.ส.ของตน และไปเป็น ส.ก. จนเป็น ส.ส. ซึ่งนายพลภูมิและครอบครัวเป็นคนมีฐานะ มีเหตุผล ไม่เคยสนใจเรื่องผลประโยชน์เงินทอง ดังนั้นการจะบอกว่าที่ช่วยรัฐบาลเพราะผลประโยชน์เงินทางตัดทิ้งไปได้เลย สาเหตุคงมาจากเรื่องอื่นมากกว่า