น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีมี ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมเป็นองค์ประชุมในการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และมาตรา 44 ว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวการเตรียมการของฝ่ายรัฐบาลก่อนการพิจารณาญัตติดังกล่าว ทราบว่ามีความพยายามระดม ส.ส.ทั้งหมดเพื่อเปิดประชุมสภาฯ โดยเงื่อนไขคือต้องมีองค์ประชุมครบ 249 เสียง เพื่อเปิดประชุมสภาฯ โหวตล้มมติ และต้องหาหนทางพลิกเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ 6 เสียง ที่โหวตสวนทางของรัฐบาล ซึ่งตนได้รับรายงานจาก ส.ส.หลายคนของพรรคที่ถูกทาบทามจากบุคคลสำคัญของรัฐบาล ว่ามีการเสนอผลประโยชน์บางอย่าง อีกทั้งยังได้ยินข่าวปล่อยด้วยว่า หากสภาฯ ล่มอีกในครั้งนี้อาจจะมีการยุบสภาฯ
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าการเมืองไทยจะเดินมาถึงจุดที่มีความเสื่อมได้เร็วขนาดนี้ ตนไม่เคยเชื่อว่าการเมืองวันนี้ผู้มีอำนาจเลือกใช้วิธีข่มขู่พรรคตัวเองหรือพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อควบคุมลูกน้องหรือทีมงานให้เกิดความเกรงกลัวจนต้องทำตามผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เท่ากับสะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจของบ้านเมืองในตอนนี้ไม่ได้ยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างที่พยายามกล่าวอ้างมาโดยตลอด เพราะเห็นภาพการต่อรอง กดดัน ข่มขู่ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอกล้วยเพื่อจูงใจให้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านนั้น ไม่ใช่การปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้นอย่างที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการนำการเมืองไทยถอยหลังไปเหมือนปี 2518
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าการเมืองไทยจะเดินมาถึงจุดที่มีความเสื่อมได้เร็วขนาดนี้ ตนไม่เคยเชื่อว่าการเมืองวันนี้ผู้มีอำนาจเลือกใช้วิธีข่มขู่พรรคตัวเองหรือพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อควบคุมลูกน้องหรือทีมงานให้เกิดความเกรงกลัวจนต้องทำตามผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เท่ากับสะท้อนให้เห็นว่า ผู้มีอำนาจของบ้านเมืองในตอนนี้ไม่ได้ยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างที่พยายามกล่าวอ้างมาโดยตลอด เพราะเห็นภาพการต่อรอง กดดัน ข่มขู่ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอกล้วยเพื่อจูงใจให้ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านนั้น ไม่ใช่การปฏิรูปการเมืองให้ดีขึ้นอย่างที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการนำการเมืองไทยถอยหลังไปเหมือนปี 2518