เมืองไทย 360 องศา
ก็ต้องบอกว่าสำหรับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เวลานี้ก็เริ่มเดินหน้าเคลื่อนไหวทางการเมืองในบทบาทใหม่ด้านนอกสภาอย่างเต็มตัวหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้พ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.จากกรณีถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัคมีเดีย จำกัดจนทำให้มีคุณสมบัติต้องห้ามในการรับสมัคร ส.ส.ตามที่รับรู้กันไปแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ธนาธร ก็ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในสภา โดยเฉพาะตำแหน่งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งก่อนหน้านั้นยืนยันว่าเป็นโควตาที่เสนอโดยพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นคนนอก แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีคนพยายามทักท้วง เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหากรณีที่กำลังถูกตรวจสอบและวินิจฉัยด้านคุณสมบัติจากกรณีถือหุ้นสื่อในศาลรัฐธรรมนูญ แต่พวกเขาโดยเฉพาะจากพรรคอนาคตใหม่ต่างยืนยันว่าไม่เป็นปัญหาและยืนยันว่าจะทำหน้าที่พิจารณาตรวจสอบด้านงบประมาณอย่างดีที่สุด
อย่างไรก็ดีหลังจากนั้น เมื่อเขาต้องพ้นสภาพจากการเป็น ส.ส.เนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าขาดคุณสมบัติดังกล่าว ก็ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในสภาผู้แทน และยังกล่าวแบบประชดประชันที่อาจหวังผลทางการเมืองตามมาอีกในทำนองว่า “ในเมื่อเขาไม่อยากให้ทำงานในสภาก็ขอมาทำงานนอกสภาก็ได้” อะไรประมาณนั้น
และหลังจากนั้นภารกิจของเขาก็เริ่มต้นทันที โดยเป้าหมายหลักเริ่มด้วยการพุ่งเป้าไปที่กองทัพ ด้วยการตั้งข้อสังเกตในเรื่องเงินนอกงบประมาณของกองทัพ ที่เป็นงบที่เป็นรายได้จากสนามมวย หรือจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ในเครือกองทัพ เป็นต้น รวมไปถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติการยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยอ้างว่าเป็นการปฏิรูปกองทัพ
แน่นอนว่าในเรื่องของรายได้ดังกล่าวสำหรับสถานีวิทยุ โทรทัศน์ในเครือของกองทัพ ที่มีมานานหลายสิบปี ย่อมต้องเป็นที่สงสัยของสังคมอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าก็ย่อมต้องมีระบบการตรวจสอบเหมือนกัน เพียงแต่ว่า การรับรู้ของสังคมภายนอกอาจจะยังจำกัด และแม้ว่าสังคมก็ยังอยากรู้ และอยากให้มีการตรวจสอบให้โปร่งใสกว่าเดิม แต่มันก็ยังไม่มีกระแสแรงพอที่จะกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างน้อยก็ในเวลานี้ ในความหมายก็คือ “ไทม์มิ่งยังไม่มา” อะไรประมาณนั้น
ขณะเดียวกันในเรื่องการผลักดันเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร โดยให้ใช้วิธีการแบบรับสมัครตามความสมัครใจ เพิ่มรายได้ และความก้าวหน้าด้านตำแหน่งชั้นยศ ซึ่งเมื่อพิจารณากันแบบผิวเผินแล้วก็น่าจะดี น่าจะมีคนสนับสนุนจำนวนมาก แต่กลายเป็นว่า ผลจากการสำรวจส่วนใหญ่ยังไม่เอาด้วย ยังสนับสนุนให้มีการเกณฑ์ทหารต่อไป อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากหลายประเทศในยุโรป อเมริกา ก็ยังใช้วิธีการเกณฑ์ทหารกันอยู่ หรือบางประเทศก็กำลังเปลี่ยนมาเป็นการเกณฑ์ทหาร เป็นต้น
หรือล่าสุดก็มีแนวร่วมที่พยายามสร้างกระแสใหม่ขึ้นมา ด้วยการจะจัดกิจกรรมที่ชื่อว่า “วิ่งไล่ลุง” ในต้นปีหน้า ซึงความหมายก็คือต้องการ “ไล่ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั่นแหละ แม้ว่านาทีน้ยังไม่อาจคาดเดาได้ เพราะเวลายังมาไม่ถึง แต่เท่าที่มองเห็นในเวลานี้ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์คนที่เคลื่อนไหวในเรื่องนี้มากกว่าสนับสนุน อาจเป็นเพราะพิจารณาจากคนที่รณรงค์ในเรื่องดังกล่าวว่าเป็นพวกไหน มีแนวทางแบบไหนหรือไม่
หากโฟกัสไปที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ประกาศให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเขาจะเคลื่อนไหวนอกสภา มันก็ทำให้เกิดการจับตามองทันทีว่าเขามีเจตนาป่วน เพื่อหวังล้มล้างรัฐบาล ล้มล้าง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเป้าหมายหลักหรือไม่ โดยเป้าหมายพยายามตีไปที่กองทัพเพื่อสร้างแนวร่วมจากภายนอก แต่ขณะเดียวกันในความเป็นจริงแล้วมันก็ไม่ง่ายดายนัก ตราบใดที่ยังไม่เจอจุดอ่อนที่เห็นกันจังๆ
ขณะเดียวกันฝ่ายกองทัพก็มีความพยายามปรับตัวเพื่อรองรับกับสภาพการเปลี่ยนแปลงในสังคมไปมากกว่าเดิม พยายามแก้ไขจุดอ่อน เช่น ในจุดปลีกย่อย ในเรื่องการกดขี่ทหารใหม่ ทหารรับใช้ เป็นต้น กลายมาเป็นว่าการเป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิด เป็นต้น ทั้งการฝึกอาชีพ การสมัครรับราชการต่อหลังครบกำหนดประจำการ มีการอ้างสถิติจำนวนทหารที่สมัครใจเข้าเป็นทหารในแต่ละปีที่มีปริมาณมากเกือบถึงร้อยละ 50 หรือเกือบครึ่งหนึ่ง ทำให้ในระยะหลังมียอดการเกณฑ์ทหารมีแนวโน้มลดน้อยลง
อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเคลื่อนไหวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นอกสภาจะมีพลังมากน้อยแค่ไหนมันก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า ในเวลานี้ทั้งตัวเขา รวมไปถึงการสนับสนุนของชาวบ้านที่มีต่อ “ลุงตู่” อยู่ในระดับไหน กระแสความเชื่อถือของ ธนาธร ในเวลานี้เป็นอย่างไร สถานะที่ต้องพ้นสภาพการเป็น ส.ส.เป็นเพราะ “ถูกกลั่นแกล้ง” หรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่า เวลานี้กระแสของ ธนาธร ยังไม่แรงพอที่จะไล่ลุงให้พ้นไปได้
ดังนั้นสิ่งที่เห็นก็คือความพยายามสร้างความปั่นป่วน เพื่อหวังสร้างแรงกดดันเพื่อเพิ่มการต่อรองเพื่อหวังเอาตัวรอดหรือไม่ เพราะต้องไม่ลืมว่าเขายังมีอีกหลายคดีหนักๆที่ยังต้องเผชิญตามมาในช่วงเวลาอันไกล้นี้ !!