เมืองไทย 360 องศา
หากคิดว่าต้องการดูแบบเอามัน ไม่เน้นสาระมากนัก ก็ต้องจับตาการขับเคี่ยวโต้ตอบกันระหว่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปช.) สภาผู้แทนราษฎร กับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ กรรมาธิการ ปปช.เพราะเชื่อว่าด้วยบุคลิกและแบ็กกราวด์ของทั้งคู่มันทำให้ละสายตาไปไม่ได้
และที่สำคัญหากเปรียบเป็นมวยก็ต้องถือว่าเป็นมวยถูกคู่ที่น่าเรียกความสนใจจาก “แฟนๆ” ทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพราะหากเปรียบคู่มวยกันแล้วถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยงน่าจะสนุกสุดมันแน่นอน และยังได้ สิระ เจนจาคะ เข้าไปเสริมฝ่าย ปารีณา อีกคนหนึ่งมันก็ยิ่งเพิ่มความมันแบบรับประกันซ่อมฟรีขึ้นไปอีก มันก็ทำให้ผู้ชมต้องซี๊ดปาก ไม่กล้ากระพริบตาก็ว่าได้
หากโฟกัสกันเฉพาะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพิจารณาตามประวัติก็ถือว่าสามารถเปิดศึกได้ทั่วทิศมาตลอด และแม้ว่าในฐานะที่เป็น ส.ส.อาจจะเป็นสมัยแรก แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านได้โควตาเก้าอี้ประธานกรรมาธิการ ปปช.ดังกล่าว อย่างไรก็ดีเมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นภายในกรรมาธิการฯเมื่อมี กรรมาธิการฯที่เป็น ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐจำนวน 2 คน ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการฯโดยอ้างเหตุผลว่า มีความอึดอักและไม่อาจทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้อีกต่อไป
จนกระทั่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ได้มีการรับรองการเสนอชื่อกรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐเข้ามาทดแทนจำนวน 2 คนนั่นคือ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ดังกล่าว และความมันก็ส่อเค้าบังเกิดตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของ 2 ส.ส.ดังกล่าว โดยเฉพาะ ปารีณา ที่ย้ำมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าร่วมประชุมในทำนองว่า “จะสั่งสอน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ว่าการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้นต้องมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของ ส.ส.ที่ไม่เหมือนกับการเป็นตำรวจ” พร้อมทั้งเหน็บแนมอีกว่าเป็นเพราะเป็น ส.ส.สมัยแรก(เสรีพิศุทธ์)จึงยังไม่รู้วิธีการทำงานในสภา อะไรประมาณนี้ ขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบโต้อย่างทันควันกลับไปเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาจากต้นตอเดือดที่รับรู้กันดีอยู่แล้วมาจากการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ใช้อำนาจประธานกรรมาธิการ ปปช.เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงในกรณีการถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน และเกี่ยวโยงไปถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 63 มิชอบ แต่ที่ผ่านมา ทั้งคู่คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็ใช้วิธีขอเลื่อนชี้แจง และล่าสุดในครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาก็ได้ทำหนังสือชี้แจงและมอบหมายให้ตัวแทนไปชี้แจงแทน แต่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังยืนกรานว่าต้องให้เจ้าตัวมาชี้แจงด้วยตัวเองเท่านั้น
ขณะเดียวกันบรรยากาศในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ปปช.ก็ได้เกิดการโต้เถียงตอบโต้กันขึ้นทั้งในและนอกห้องประชุม และมีการขยายเรื่องราวออกไปเมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขู่ว่าจะตรวจสอบเรื่องการครอบครอบที่ดินของ น.ส.ปารีณา กว่าพันไร่ที่กำลังเป็นข่าว และก็ได้รับการตอบโต้ว่า ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่อย่ามาพูดลับหลัง เป็นต้น และล่าสุด เรื่องราวก็สนุกขึ้นไปอีกเมื่อ นายสิระ เจนจาคะ เสนอให้ปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ ปปช. เนื่องจากไม่มีความเหมาะสม
ก็ต้องบอกว่าหากเป็นมวยก็ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ แบบเอามัน ไม่ต้องเน้นสาระมากนัก ก็น่าจะมีความสนุก แต่หากพิจารณาในเชิงมวย ที่มองจากภายนอกเข้าไปก็ต้องบอกว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ น่าจะเสียเปรียบนิดๆ เนื่องจากเชิงชก “ไม่ค่อยเข้าตา” สังคมนัก โดยเฉพาะเรื่องราวที่กำลังกัดไม่ปล่อยอยู่ในเวลานี้ นั้นหลายคนมองว่า “มันจบไปแล้ว” ชาวบ้านไม่มีอารมณ์ร่วม หรือหากพิจารณาจากปฏิกิริยาหรือท่าทีจากพรรคร่วมฝ่ายค้านหากสังเกตดูก็ยังเฉยๆ
แต่ขณะเดียวกันหากพิจารณาในมุมการเมืองจากฝ่ายพรรคฝ่ายรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐนั้น การส่งสอง ส.ส.ดังกล่าวเข้าไปในกรรมาธิการ ปปช.มันก็เหมือนกับการเข้า “ป่วน เสรีพิศุทธ์” นั่นแหละ อย่างน้อยก็ไปพันแข้งพันขาไม่ให้เดินเหินได้สะดวก และเป็นการสกัดไม่ให้มาเข้าใกล้ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ซึ่งทั้งคู่ถือว่าเป็นผู้นำพรรคพลังประชารัฐตัวจริง โดยเฉพาะรายหลังเป็นถึงประธานยุทธศาสตร์พรรคเสียด้วย มันก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ดังนั้นหากพิจารณาหรือมองกันแบบสนุกๆไม่เครียด ก็ต้องบอกว่าเป็น “มวยถูกคู่” ซดกันมันหยด และยังเชื่อว่าจะต้อง “แย่งซีน” กันทั้งสภาแน่นอน !!