**หากคิดว่าต้องการดูแบบเอามัน ไม่เน้นสาระมากนัก ก็ต้องจับตาการขับเคี่ยวโต้ตอบกันระหว่าง "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส" ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร กับ "น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์" กรรมาธิการ ป.ป.ช. เพราะเชื่อว่าด้วยบุคลิกและแบ็กกราวด์ของทั้งคู่มันทำให้ละ สายตาไปไม่ได้
และที่สำคัญหากเปรียบเป็นมวยก็ต้องถือว่าเป็นมวยถูกคู่ที่น่าเรียกความสนใจจาก“แฟนๆ”ทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพราะหากเปรียบคู่มวยกันแล้วถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยง น่าจะสนุกสุดมันแน่นอน และยังได้ "สิระ เจนจาคะ" เข้าไปเสริมฝ่าย ปารีณา อีกคนหนึ่งมันก็ยิ่งเพิ่มความมันแบบรับประกันซ่อมฟรีขึ้นไปอีก มันก็ทำให้ผู้ชมต้องซี๊ด ปาก ไม่กล้ากระพริบตาก็ว่าได้
หากโฟกัสกันเฉพาะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพิจารณาตามประวัติก็ถือว่าสามารถเปิดศึกได้ทั่วทิศมาตลอด และแม้ว่าในฐานะที่เป็นส.ส. อาจจะเป็นสมัยแรก แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านได้โควตาเก้าอี้ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช.ดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นภายในกรรมาธิการฯ เมื่อมี กรรมาธิการฯ ที่เป็นส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 2 คนได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการฯ โดยอ้างเหตุผลว่า มีความอึดอัด และไม่อาจทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้อีกต่อไป
จนกระทั่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการรับรองการเสนอชื่อกรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐเข้ามาทดแทน จำนวน 2 คน นั่นคือ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ดังกล่าว และความมันก็ส่อเค้าบังเกิดตั้งแต่เริ่มต้น
เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของ 2 ส.ส.ดังกล่าว โดยเฉพาะปารีณา ที่ย้ำมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าร่วมประชุมในทำนองว่า“จะสั่งสอนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่าการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้นต้องมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของส.ส.ที่ไม่เหมือนกับการเป็นตำรวจ” พร้อมทั้งเหน็บแนมอีกว่า เป็นเพราะเพิ่งเป็นส.ส.สมัยแรก (เสรีพิศุทธ์) จึงยังไม่รู้วิธีการทำงานในสภาฯ อะไรประมาณนี้ ขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบโต้อย่างทันควันกลับไปเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากต้นตอเดือดที่รับรู้กันดีอยู่แล้วมาจากการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ใช้อำนาจประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. เชิญ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงในกรณีการถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน และเกี่ยวโยงไปถึงการเสนอ ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 มิชอบ
แต่ที่ผ่านมา ทั้งคู่คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็ใช้วิธีขอเลื่อนชี้แจง และล่าสุดในครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ได้ทำหนังสือชี้แจงและมอบหมายให้ตัวแทนไปชี้แจงแทน แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังยืนกรานว่าต้องให้เจ้าตัวมาชี้แจงด้วยตัวเองเท่านั้น
**ขณะเดียวกันบรรยากาศในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ก็ได้เกิดการโต้เถียงตอบโต้กันขึ้นทั้งในและนอกห้องประชุม และมีการขยายเรื่องราวออกไปเมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขู่ว่าจะตรวจสอบเรื่องการครอบครอบที่ดินของ น.ส.ปารีณา กว่าพันไร่ ที่กำลังเป็นข่าว และก็ได้รับการตอบโต้ว่า ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่อย่ามาพูดลับหลัง เป็นต้น และล่าสุด เรื่องราวก็สนุกขึ้นไปอีกเมื่อ นายสิระ เจนจาคะ เสนอให้ปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. เนื่องจากไม่มีความเหมาะสม
ก็ต้องบอกว่าหากเป็นมวยก็ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ แบบเอามัน ไม่ต้องเน้นสาระมากนัก ก็น่าจะมีความสนุก แต่หากพิจารณาในเชิงมวย ที่มองจากภายนอกเข้าไปก็ต้องบอกว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ น่าจะเสียเปรียบนิดๆ เนื่องจากเชิงชก “ไม่ค่อยเข้าตา”สังคมนัก โดยเฉพาะเรื่องราวที่กำลังกัดไม่ปล่อยอยู่ในเวลานี้ นั้นหลายคนมองว่า“มันจบไปแล้ว”ชาวบ้านไม่มีอารมณ์ร่วม หรือหากพิจารณาจากปฏิกิริยา หรือท่าทีจากพรรคร่วมฝ่ายค้านหากสังเกตดูก็ยังเฉยๆ
แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณาในมุมการเมืองจากพรรคฝ่ายรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐนั้น การส่งสองส.ส.ดังกล่าวเข้าไปในกรรมาธิการ ป.ป.ช.มันก็เหมือนกับการเข้า “ป่วน เสรีพิศุทธ์”นั่นแหละ อย่างน้อยก็ไปพันแข้งพันขาไม่ให้เดินเหินได้สะดวก และเป็นการสกัดไม่ให้มาเข้าใกล้ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ซึ่งทั้งคู่ถือว่าเป็นผู้นำพรรคพลังประชารัฐตัวจริง โดยเฉพาะรายหลังเป็นถึงประธานยุทธศาสตร์พรรคเสียด้วย มันก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
**ดังนั้นหากพิจารณาหรือมองกันแบบสนุกๆไม่เครียด ก็ต้องบอกว่าเป็น “มวยถูกคู่”ซดกันมันหยด และยังเชื่อว่าจะต้อง “แย่งซีน”กันทั้งสภาฯ แน่นอน !!
และที่สำคัญหากเปรียบเป็นมวยก็ต้องถือว่าเป็นมวยถูกคู่ที่น่าเรียกความสนใจจาก“แฟนๆ”ทั้งฝ่ายที่ชอบและไม่ชอบอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพราะหากเปรียบคู่มวยกันแล้วถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยง น่าจะสนุกสุดมันแน่นอน และยังได้ "สิระ เจนจาคะ" เข้าไปเสริมฝ่าย ปารีณา อีกคนหนึ่งมันก็ยิ่งเพิ่มความมันแบบรับประกันซ่อมฟรีขึ้นไปอีก มันก็ทำให้ผู้ชมต้องซี๊ด ปาก ไม่กล้ากระพริบตาก็ว่าได้
หากโฟกัสกันเฉพาะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่อดีตเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพิจารณาตามประวัติก็ถือว่าสามารถเปิดศึกได้ทั่วทิศมาตลอด และแม้ว่าในฐานะที่เป็นส.ส. อาจจะเป็นสมัยแรก แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมฝ่ายค้านได้โควตาเก้าอี้ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช.ดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อทำงานไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นภายในกรรมาธิการฯ เมื่อมี กรรมาธิการฯ ที่เป็นส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 2 คนได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการฯ โดยอ้างเหตุผลว่า มีความอึดอัด และไม่อาจทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้อีกต่อไป
จนกระทั่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้มีการรับรองการเสนอชื่อกรรมาธิการจากพรรคพลังประชารัฐเข้ามาทดแทน จำนวน 2 คน นั่นคือ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร และ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี ดังกล่าว และความมันก็ส่อเค้าบังเกิดตั้งแต่เริ่มต้น
เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ของ 2 ส.ส.ดังกล่าว โดยเฉพาะปารีณา ที่ย้ำมาตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าร่วมประชุมในทำนองว่า“จะสั่งสอนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่าการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้นต้องมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของส.ส.ที่ไม่เหมือนกับการเป็นตำรวจ” พร้อมทั้งเหน็บแนมอีกว่า เป็นเพราะเพิ่งเป็นส.ส.สมัยแรก (เสรีพิศุทธ์) จึงยังไม่รู้วิธีการทำงานในสภาฯ อะไรประมาณนี้ ขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบโต้อย่างทันควันกลับไปเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากต้นตอเดือดที่รับรู้กันดีอยู่แล้วมาจากการที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ใช้อำนาจประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. เชิญ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงในกรณีการถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน และเกี่ยวโยงไปถึงการเสนอ ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 มิชอบ
แต่ที่ผ่านมา ทั้งคู่คือ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ก็ใช้วิธีขอเลื่อนชี้แจง และล่าสุดในครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ได้ทำหนังสือชี้แจงและมอบหมายให้ตัวแทนไปชี้แจงแทน แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังยืนกรานว่าต้องให้เจ้าตัวมาชี้แจงด้วยตัวเองเท่านั้น
**ขณะเดียวกันบรรยากาศในที่ประชุมคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ก็ได้เกิดการโต้เถียงตอบโต้กันขึ้นทั้งในและนอกห้องประชุม และมีการขยายเรื่องราวออกไปเมื่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขู่ว่าจะตรวจสอบเรื่องการครอบครอบที่ดินของ น.ส.ปารีณา กว่าพันไร่ ที่กำลังเป็นข่าว และก็ได้รับการตอบโต้ว่า ขอให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน แต่อย่ามาพูดลับหลัง เป็นต้น และล่าสุด เรื่องราวก็สนุกขึ้นไปอีกเมื่อ นายสิระ เจนจาคะ เสนอให้ปลด พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. เนื่องจากไม่มีความเหมาะสม
ก็ต้องบอกว่าหากเป็นมวยก็ถือว่าเป็นมวยถูกคู่ แบบเอามัน ไม่ต้องเน้นสาระมากนัก ก็น่าจะมีความสนุก แต่หากพิจารณาในเชิงมวย ที่มองจากภายนอกเข้าไปก็ต้องบอกว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ น่าจะเสียเปรียบนิดๆ เนื่องจากเชิงชก “ไม่ค่อยเข้าตา”สังคมนัก โดยเฉพาะเรื่องราวที่กำลังกัดไม่ปล่อยอยู่ในเวลานี้ นั้นหลายคนมองว่า“มันจบไปแล้ว”ชาวบ้านไม่มีอารมณ์ร่วม หรือหากพิจารณาจากปฏิกิริยา หรือท่าทีจากพรรคร่วมฝ่ายค้านหากสังเกตดูก็ยังเฉยๆ
แต่ขณะเดียวกัน หากพิจารณาในมุมการเมืองจากพรรคฝ่ายรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐนั้น การส่งสองส.ส.ดังกล่าวเข้าไปในกรรมาธิการ ป.ป.ช.มันก็เหมือนกับการเข้า “ป่วน เสรีพิศุทธ์”นั่นแหละ อย่างน้อยก็ไปพันแข้งพันขาไม่ให้เดินเหินได้สะดวก และเป็นการสกัดไม่ให้มาเข้าใกล้ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ซึ่งทั้งคู่ถือว่าเป็นผู้นำพรรคพลังประชารัฐตัวจริง โดยเฉพาะรายหลังเป็นถึงประธานยุทธศาสตร์พรรคเสียด้วย มันก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
**ดังนั้นหากพิจารณาหรือมองกันแบบสนุกๆไม่เครียด ก็ต้องบอกว่าเป็น “มวยถูกคู่”ซดกันมันหยด และยังเชื่อว่าจะต้อง “แย่งซีน”กันทั้งสภาฯ แน่นอน !!