เมืองไทย 360 องศา
สังเกตหรือไม่ว่าในช่วงหลังๆมานี้บรรดาผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย หรือผู้ที่สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเริ่มตำหนิ ติติงพรรคอนาคตใหม่รวมไปถึงบรรดาแกนนำของพรรคนั้นแบบชัดเจนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าแบบไม่ไว้หน้ากันอีกต่อไปแล้ว
ไม่เชื่อก็ลองไปส่องดูในโลกโซเชียลฯที่บรรดาผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย และผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร หรือที่เรียกว่า “ติ่ง” นั่นแหละ ที่ออกมาโจมตีการเคลื่อนไหวของพวกแกนนำ โดยเฉพาะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างรุนแรง น่าสังเกตก็คือพวกเขายังไม่ให้อภัยกับคำของโทษของ ธนาธร จากกรณีที่ได้พูดจาพาดพิงโจมตี ทักษิณ ชินวัตร กลางศาลรัฐธรรมนูญเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
รวมไปถึงระดับแกนนำมวลชนของระบอบทักษิณ เช่น ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ เป็นต้นก็มักจะโพสแขวะ พรรคอนาคตใหม่อยู่บ่อยครั้ง
เชื่อว่าหลายคนคงตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองพรรคนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาถือว่าเป็นพันธมิตรกันทางการเมืองไม่ต่างจากพรรคพี่พรรคน้อง และในการเลือกตั้งที่ผ่านมาต้องยอมรับความจริงว่ามีการ “เทคะแนนเสียง” จากกลุ่มผู้สนับสนุนไปให้หลังจากที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบไป
อย่างไรก็ดีหากใครที่ติดตามสถานการณ์ของสองพรรคนี้มาอย่างใกล้ชิดก็ย่อมพอจะมองออกว่ามันไม่มีทางเป็นพันธมิตรกันได้ในระยะยาว เนื่องจากแนวทางการเมือง และประโยชน์ทางการเมืองของบรรดาผู้สนับสนุนของแต่ละพรรคล้วนไปกันคนละทาง
หลายคนมองออกว่า ในระยะยาวแล้วเชื่อว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่คงไม่ยอมอยู่ใต้ร่มเงาของ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยอยู่ตลอดไป อาจต้องการพึ่งพาสร้างแรงส่งในระยะแรกเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันอาจเป็นเพราะเขาอ่อนด้อยประสบการณ์การเมือง หรือเป็นเพราะเป็นคนที่ “ไม่รู้จักงำประกาย” ให้มิดชิด ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างต้องเปิดเผยออกมาก่อนช่วงเวลาอันเหมาะสม ซึ่งทุกอย่างล้วนมาจากตัวของ ธนาธร ที่เผยตัวตนออกมาให้เห็นด้วยตัวเองทั้งสิ้น และทุกเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาในแบบ “รัดคอตัวเอง” ในเวลานี้ก็ล้วนมาจากตัวเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นกรณีโอนหุ้นสื่อ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด คดีถูกร้องเรื่องการปล่อยกู้ให้กับพรรคอนาคตใหม่ หรือการทำ บลายด์ทรัสต์ (Blind Trust) ที่ปรากฏว่ามารู้ความจริงว่าไม่ได้ทำจริงหลังจากมีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ถึงได้ทราบในภายหลังว่ายังไม่ได้ดำเนินการตามที่ประกาศเอาไว้อย่างใหญ่โตก่อนหน้านี้
แต่ที่เชื่อว่าเป็นความผิดพลาดของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่างมากก็คือการที่เขากล่าวพากพิงโจมตี ทักษิณ ชินวัตร กลางศาลรัฐธรรมนูญ อย่างรุนแรง ในลักษณะที่ “เหยียบให้จมดิน” พร้อมๆกับการต่อรองว่าหากรอดพ้นคดีไปได้เขาจะไม่มีวันเล่นการเมืองในแบบที่ทักษิณ เคยทำเป็นอันขาด ซึ่งนั่นเท่ากับว่าทำให้เขาสูญเสียพันธมิตรการเมืองไปอย่างมหาศาลในทันที รวมไปถึงทำให้เขาต้องโดดเดี่ยวจากมวลชนที่เคยหนุน ทักษิณ มานาน โดยเฉพาะบรรดาสาวกในระดับล่างๆที่ไม่ใช่ระดับแกนนำ
แต่สำหรับแกนนำ นปช.แล้ว ในทางลึกเขาเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทาง “ร่วมเดิน” ไปกับพรรคอนาคตใหม่ และแกนนำพรรคนี้ได้เลย เพราะการถือกำเนิดขึ้นมาของพรรคอนาคตใหม่มันก็ยิ่งทำให้พวกเขาด้อยความสำคัญลงไป หากสังเกตจะเห็นว่าคนจะพูดถึงแต่ ธนาธร ปิยบุตร แสงกนกกุล หรือแม้แต่ “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช ยังถูกพูดถึงมากกว่า หากนำไปเปรียบเทียบกับบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมไปถึงคนอื่นๆที่ในช่วงสี่ห้าเดือนนี้แทบจะไร้ความหมาย ไม่มีพื้นที่ข่าวให้เห็นเลยก็แล้วกัน
นี่คือความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้บรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทย และบรรดา “สาวก”ของ ทักษิณ ชินวัตร จะพยายามแยกมวลชนออกมาจากมวลชนที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ ออกมาให้เด็ดขาดในแบบ “ของใครของมัน” ซึ่งมาพร้อมๆกับเสียงโจมตีที่ดังขึ้นเช่นเดียวกัน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งเราก็จะได้เห็นการดิ้นรนของฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ที่พยายาม “จัดแถว” นับจำนวนมวลชนทั่งสนับสนุนว่ายังเหลืออยู่กี่มากน้อยแล้ว สังเกตได้จากการนัดรวมพล “คนอยู่ไม่เป็น” ของพรรคอนาคตใหม่ในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเสี่ยงวัดดูว่ามีอยู่เท่าไหร่กันแน่ ก่อนที่จะถึงวันสำคัญที่ชี้ชะตาอนาคตของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าจะรอดหรือไม่รอดในวันที่ 20 พฤศจิกายนนี้ จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคำร้องคดีถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด
งานนี้หากมองกันแบบเข้าใจสถานการณ์ก็เหมือนกับว่าฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร ต้องการที่จะแยกมวลชนออกมาให้ชัดไม่ต้องการให้คาบเกี่ยวหรือ “คร่อม” กันเหมือนแต่ก่อน ขณะที่ฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องการ “เช็ก”จำนวนว่าบรรดา “ติ่ง”ทั้งหลายยังหนักแน่นอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ก็ต้องรอพิสูจน์ว่าของจริงหรือมั่วนิ่มกันแน่อีกไม่นานก็จะรู้แล้ว !!