เมืองไทย 360 องศา
“ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ผมยิ่งต้องลงพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ และการเลือกตั้งครั้งต่อไปเมื่อมีรัฐบาลใหม่ จะต้องเป็นรัฐบาลที่ไปได้ทุกที่ ยิ่งมีคนเกลียด ผมก็ต้องวิ่งไปหา ใครจะไม่ชอบผม ก็ไม่เป็นไร แต่ทหารทุกคนรักชาวบ้าน ทุกที่มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ตอนนี้เราแบ่งฝ่ายกันไม่ได้”
คำพูดตอนหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่กล่าวกับพี่น้องประชาชนในจังหวัดอำนาจเจริญ ระหว่างลงพื้นที่ตรวจราชการและรับฟังปัญหาในช่วงการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่หรือ ครม.สัญจรระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม ที่จังหวัดอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
แน่นอนว่า คราวนี้ทุกสายตาสำหรับคอการเมืองย่อมจับจ้องกันตาไม่กะพริบ และมองออกว่า นี่คือ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะการลงพื้นที่เป้าหมายทางการเมืองในพื้นที่ภาคอีสาน ที่กำลังรุกคืบอย่างหนัก กับข้อกล่าวหาในเรื่อง “พลังดูด” ที่อ้างว่ากระทำผ่าน “กลุ่มสามมิตร” และเครือข่ายก่อนที่จะไหลลงไปที่ “พรรคพลังประชารัฐ” ในขั้นตอนสุดท้าย
และแน่นอนเช่นเดียวกันว่า หากไปถามใครก็ย่อมมีแต่คนปฏิเสธว่า “ไม่ได้ดูด” หรือหากไปถามคนที่ย้ายออกจากพรรคเดิมก็จะได้คำตอบในทำนองว่า “ทำตามคำเรียร้องของประชาชน” หรือไม่ก็เพื่อเป้าหมายจะได้ทำประโยชน์ให้กับชาวบ้านประเทศชาติได้มากกว่า อะไรประมาณนี้
เช่นเดียวกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยืนยันว่า การลงพื้นที่มาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง ไม่ได้มาหาเสียง ก็ว่ากันไป พูดจริงหรือมีใครเชื่อหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่หากพิจารณากันแบบลีลาคำพูดคำจาแล้วรับรองว่าต่อให้เป็นพวกนักการเมืองมืออาชีพจากการเลือกตั้งรับรองยังต้องอายแน่นอน
เพราะมีทั้งลูกอ้อน มีการสร้างความประทับใจแบบที่ว่ามาขอคะแนนเสียงล่วงหน้าแต่ไม่ให้ชาวบ้านรู้ตัวเพราะ “เนียน” มาก แต่ที่น่าสนใจก็คือ การพิจารณาโครงการมากมาย ทั้งโครงการใหญ่ โครงการขนาดย่อยที่ชาวบ้านและพวกผู้นำท้องถิ่นนำเสนอขึ้นมา รวมแล้วคราวนี้ทั้งสองจังหวัดกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
ส่วนพวกที่เดินสายดูดก็ดูดไป มันถึงถูกมองว่า “แยกกันเดิน” แต่มีเป้าหมายบรรจบกันข้างหน้าทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง นั่นคือการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วหากพิจารณาจากจุดขายในเรื่ององค์ประกอบที่มีอยู่รอบตัวอย่างพร้อมสรรพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วยังมี “จุดขาย” ทางการเมืองที่ยังไม่เคยชูขึ้นมาอย่างเป็นจริงเป็นจัง นั่นคือ “ความเป็นลูกอีสาน” ของแท้ของเขา “เป็นหลานย่าโม” โดยกำเนิด และหากจำกันได้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเคยพูดให้ฟังด้วยว่าบรรพบุรุษของเขาเป็น “ชาวนา” มาก่อนแม้ว่าในตอนนี้ได้เลิกทำไปแล้วก็ตาม
แต่นั่นก็ถือว่าเข้าสูตรทางการเมือง ใช้เป็นยุทธศาสตร์สร้างอารมณ์ร่วมกับมวลชนในพื้นที่ฐานเสียงหลักในภาคอีสานได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมา “แรมโบ้อีสาน” ก็เคยพูดให้รับรู้กันไปแล้วเมื่อครั้งที่แตกหัก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ ธิดา ถาวรเศรษฐ กับพวก นปช.ในกรุงเทพฯ ทำนองว่า “พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นคนโคราช เป็นหลานย่าโมคนหนึ่ง ทำไมจะสนับสนุนไม่ได้
ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจที่ได้เห็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จะเห็นการเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคัก โดยเป็นการเปิดเผยของ นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา โฆษกพรรคชาติพัฒนา ยอมรับไมตรีและความร่วมมือทางการเมืองกับ “กลุ่มสามมิตร” เพื่อร่วมกันพัฒนา จังหวัดและประเทศชาติในวันหน้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขาฯกลุ่มสามมิตร มีการระบุว่า ได้ร่วมมือกับ นายสุวัจน์ ลิปพัลลภ แกนนำพรรคชาติพัฒนาเรียบร้อยแล้ว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมเป็นการตอกย้ำให้เห็นภาพชัดเจนแล้วว่า พรรคชาติพัฒนาจะเป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ และอย่างน้อยความเป็นลูกหลาน “ย่าโม” ความเป็นลูกอีสานของเขาจะถูกชูขึ้นมาให้โดดเด่นขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้
ดังนั้น หากพิจารณาจากภาพการเคลื่อนไหวจากการลงพื้นที่คราวนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เห็นภาพของ “พลังดูด” ชัดเจน เพราะต้องทำกันในทางลับ แต่สำหรับยุทธศาสตร์ทางการเมืองในอนาคตของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็คือ “ลูกหลานย่าโม” นายกฯลูกอีสานของแท้ เหมือนกับที่ได้เกริ่นให้เห็นเป็นทางนำร่องมาแล้ว!!