ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เสรีภาพแบบเนรคุณ ? "บีบีซีไทย" ให้พื้นที่เชิดชู "ผู้ลี้ภัยการเมือง" อ้างชะตากรรมของคนไทยที่กล้าพูดในสิ่งที่พูดไม่ได้" จัดหนักเต็มไปด้วยอคติ-สนับสนุนความเกลียดชัง หมิ่นเบื้องสูงซ้ำ
เมื่อสำนักข่าวระดับโลกอย่าง "บีบีซี" สื่ออะไรออกมา สังคมย่อมต้องให้ความ "น่าเชื่อ " กว่า "Fake news"ที่ไร้ที่ไปที่มา แต่กับเรื่องพิเศษที่ใช้ชื่อว่า "ผู้ลี้ภัยทางการเมือง : คนเห็นต่างหรือ พวกหนักแผ่นดิน" ที่กำลังนำเสนอ และให้ความสำคัญทั้งเสนอไว้บนเว็บไซต์ "บีบีซีไทย" และถึงกับปักหมุดไว้บนสุดของเพจเฟซบุ๊ก "บีบีซีไทย-BBC Thai" ซึ่งมีความเห็นจากคนอ่านไม่น้อยว่า ไม่ต่างกับ "ข่าวปลอม"... "ข่าวปล่อย"
เรื่องพิเศษนี้นำเสนอโดย BBCภาคภาษาไทยหรือ บีบีซีไทย -BBC Thai" โดยโปรยขยายความในเพจว่า "บีบีซีไทยสำรวจชะตากรรมของคนไทยที่กล้าพูดในสิ่งที่พูดไม่ได้"
เหตุและผลในการพยายามทำรายงานข่าว "บีบีซีไทย" เกริ่นว่า ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา มีคนไทยไปลี้ภัยในต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 100 คน ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีนักเคลื่อนไหวอย่างน้อย 6 คน ที่หายตัวปริศนา อีก 2 คน กลายเป็นศพ ถูกคว้านท้องและยัดด้วยเสาปูน
หลายเดือนที่ผ่านมา "บีบีซีไทย" ได้สืบค้นเรื่องราวของผู้ลี้ภัยไทยในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรีที่หนีการขู่สังหารไปยุโรป , แม่ผู้เฝ้ารอวันที่ลูกชายที่หายตัวปริศนาจะกลับบ้าน , นักเคลื่อนไหววัย 20 กว่าปีในเกาหลีใต้ ผู้ทิ้งบ้านเกิดเพื่อเสรีภาพในการแสดงออก และนักข่าวในสหรัฐฯ ที่ขับอูเบอร์ไปด้วย เพื่อหาเงินมาผลิตรายการ เป็นต้น
ทางการไทยมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการฆาตกรรม อุ้มหายปริศนา และการคุกคามนักเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หรือไม่...
อะไรคือ“ราคาที่ต้องจ่าย”สำหรับคนไทยที่ยืนหยัดจะพูดในสิ่งที่พูดไม่ได้ !
จากนั้น ก็นำเข้าการสัมภาษณ์กลุ่มคนที่หนีข้อหากระทำผิดกฎหมายไทย และหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เช่น สมาชิกวงดนตรีที่ใช้ชื่อว่า "ไฟเย็น" หรือ วงดนตรี "ล้มเจ้า" ที่หนีจากไทยไปอยู่ลาว ก่อนที่จะขอลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส ในปัจจุบัน
ก่อนที่บีบีซี สรุปจากการสัมภาษณ์ผู้คนเหล่านั้นว่า "สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าเรากำลังอยู่ในสังคมแบบไหนกันที่ผู้เห็นต่างอาจถูกอุ้มหายหรือถูกฆาตกรรมได้"
เรียกว่า "เป็นกระบอกเสียง" ให้กับคนที่ลี้ภัยให้ต่อต้านรัฐไทยแบบไม่มีเม้ม... เต็มไปด้วยอคติ สร้างความเกลียดชัง และจาบจ้วงกระทำผิดซ้ำต่อสถาบันกษัตริย์ ที่คนไทยรักและเทิดทูน แม้บางช่วงบางตอน "บีบีซีไทย" ก็รู้อยู่เต็มอกว่า เอกสารหลักฐานที่อ้างของผู้ให้สัมภาษณ์ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นของจริงหรือไม่
แต่บีบีซีไทย ก็เลือกที่จะเสนอ ! ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า มาตรฐานวิชาชีพสื่อระดับโลกอย่าง บีบีซี มีแค่นี้ ?
หรือว่า"บีบีซีไทย" เพียงเพื่อยืม "ปาก" คนที่หนีคดี ผู้ลี้ภัย มาสนองต่อการโน้มน้าว "อคติ" ต่อรัฐไทยและสถาบันฯ ของบีบีซี ที่มีมาตลอด
ยกตัวอย่าง... บ่อยครั้งที่ "โจนาธาน เฮด" ผู้สื่อข่าวที่เคยอยู่ในไทย แต่ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียม วัฒนธรรมไทย มักรายงานโดยความเห็นส่วนตัวโจมตีประเทศไทยเสมอ... รายงานข่าวของโจนาธานบางเรื่องไม่มีเจตนาดี มิหนำซ้ำทำร้ายจิตใจคนไทยที่รักสถาบันฯ อย่างยิ่ง โดยเฉพาะช่วงพระราชพิธีพระบรมศพในหลวง ร.9 ที่คนไทยทั่วประเทศกำลังเศร้าเสียใจอย่างใหญ่หลวง ก็เป็น "บีบีซี" ที่ไม่รู้ความ จนมีกระแสต่อต้านบีบีซี
แต่สำหรับบางเรื่อง โจนาธาน และ บีบีซีกลับให้ความสำคัญ เช่น "ทักษิณ ชินวัตร" แทบจะเป็นกระบอกเสียงด้านเดียวที่ช่วยทักษิณ ด่าประเทศตัวเอง ... คงจำกันได้ ช่วงที่ลูกสาวทักษิณ "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร แต่งงานที่ ฮ่องกง "บีบีซีไทย" ก็แทบจะเป็นสื่อแรกๆ ที่ได้เข้าสัมภาษณ์ทักษิณ
ไม่น่าแปลกใจที่หากจะมีคนบอกว่าสมัยทักษิณ คนหายจากนโยบายปราบปรามยาเสพติด "ฆ่าตัดตอน" คนหายไปน่าจะมากกว่า ผู้ลี้ภัยของ บีบีซี แต่ "บีบีซีไทย" ไม่เคยพูดถึง
ทักษิณ และ บรรดากลุ่มแนวร่วมที่สนับสนุนระบอบทักษิณ จะทำอะไร บีบีซี สนใจห่วงใยติดตามมานำเสนอ ... อย่าให้คนไทยตัองเห็นว่า"บีบีซีไทย" เป็นสื่อเลือกข้าง อยู่ข้างทักษิณ อยู่ข้างคนที่อยู่ตรงข้ามรัฐไทยตลอดเวลาเลย...
แน่นอน"บีบีซีไทย" ย่อมมีเสรีภาพในการนำเสนอ หากเรื่องนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องยุติธรรม
การยกอ้างความเห็นต่าง แต่ สนับสนุนให้มีการจาบจ้วงสถาบันฯ ทั้งๆ ที่ ใช้ชื่อไทย หากินบนผืนแผ่นดินไทย ไม่มีคนไทยคนไหนรับได้หรอก เสรีภาพแบบ"เนรคุณ" แบบนี้
คนไทยเขาเรียกว่า "กินบนเรือน ขี้บนหลังคา"
** ดราม่าเรื่อง กมธ.ป.ป.ช. โดย "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์" เรียก "บิ๊กตู่" ไปชี้แจง พ.ร.บ.งบประมาณฯ โดยอ้างเรื่องถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ กำลังลุกลาม กลายเป็นการถกเถียงเรื่องข้อกฎหมาย... ต่างฝ่ายต่างยกเอา "คุก" มาขู่กัน... จับตา 6 พ.ย.นี้ "บิ๊กตู่" จะไปชี้แจงหรือไม่
ในระบบการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผ่านคณะกรรมธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่รับรู้กันว่าคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร หรือ "กมธ.ป.ป.ช." จะมีบทบาทมากที่สุด ...ที่ผ่านมา ประธานกมธ. ชุดนี้ มักจะตกอยู่กับพรรคแกนนำฝ่ายค้าน แต่ครั้งนี้ ทั้งพรรคเพื่อไทย และ
พรรคอนาคตใหม่ กลับพร้อมใจกันยกเก้าอี้ตัวนี้ให้ "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส" หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย... ด้วยเห็นว่าเป็น "คนตรง" บุคลิกดุดัน ไม่หวั่นเกรงอิทธิพล เนื่องจากเป็นถึง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ น่าจะเป็นคู่ต่อกรกับรัฐบาล "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อย่างถึงลูกถึงคน... คอการเมืองก็เฝ้าติดตาม หวังว่าจะมีผลงานเด็ดๆ ออกมา
เพราะเป็นการใช้คนที่ตรงกับงาน ...
ครั้น กมธ.ชุดนี้ มีมติให้เชิญ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ด้วยเหตุผลที่ว่า... คณะรัฐมนตรีชุดนี้ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน ...เมื่อถวายสัตย์ฯไม่ครบถ้วน ก็ไม่มีสถานะที่จะเป็นรัฐบาล ไม่มีอำนาจในการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 จึงต้องเรียกไปชี้แจง...แต่ "บิ๊กตู่" ก็ยังไม่ไปชี้แจง
กลายเป็นว่าพอเรื่องนี้เป็นประเด็นขึ้นมา กระแสก็ตีกลับไปที่ "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์" เพราะคนมองว่า เป็นการเอาตำแหน่งประธาน กมธ.ป.ป.ช. มา "เล่นการเมืองเกินไป" ไม่ได้ตั้งใจตรวจสอบทุจริต เพราะ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เพิ่งผ่านวาระรับหลักการไปเท่านั้น ยังไม่ได้มีการประกาศใช้ ... อีกทั้งเรื่อง "ถวายสัตย์ฯ" ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และก็จบไปแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งไม่รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา พร้อมให้เหตุผลว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำทางการเมืองของฝ่ายบริหาร กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด... การหยิบเรื่อง”ถวายสัตย์ฯ” มาเล่นไม่เลิก จึงเป็นบทบาทของ”ฝ่ายแค้น” มากกว่า”ฝ่ายค้าน”
"ดิสทัต โหตระกิตย์" มือกฎหมาย ที่มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ยังทำหนังสือถามไปยัง กมธ.ป.ป.ช. ว่า ... การเสนอ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ของนายกฯ เกี่ยวข้องกับการทุจริตที่อยู่ในหน้าที่ และอำนาจของกรรมาธิการอย่างไร อีกทั้งก่อนหน้านี้ สภาฯก็ได้ให้ความเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. ที่รัฐบาลเสนอมาหลายฉบับแล้ว ทำไมไม่มีการคัดค้าน จึงอยากให้ กมธ.ป.ป.ช. พิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง ทั้งข้อบังคับการประชุมสภาฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
แต่ "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์" ก็ยังคงยืนยันที่จะเรียก "บิ๊กตู่" ไปชี้แจง โดยอ้างว่า เป็นอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ในการเชิญนายกฯมาชี้แจง และเป็นมติของคณะกมธ. ไม่ใช่ความเห็นของ ประธานกมธ. เพียงคนเดียว โดยเฉพาะเมื่อดู มาตรา 129 วรรค 4 จะพบว่า เป็นเรื่องของกรรมาธิการ กับผู้ที่ถูกเชิญเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ 3 ดังนั้น"บุคคลอื่น" ไม่สามารถที่จะส่งหนังสือมาถามในลักษณะนี้ได้ ถือเป็นเรื่องที่เสียมายาท
ขณะที่ "เชาว์ มีขวด" อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้แสดงความเห็นในข้อกฎหมายเพื่อตอบโต้ "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์" โดยยกเอาข้อบังคับการประชุมสภาฯ หมวด 5 ข้อ 90 (22) ที่ระบุว่า "คณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบมีหน้าที่และอำนาจกระทำกิจการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใดๆที่เกี่ยวกับกระบวนการและมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ" มายืนยัน เพราะเห็นว่าเรื่องที่ กมธ.ป.ป.ช. เชิญ"บิ๊กตู่" ไปชี้แจงนั้นไม่เกี่ยวกับเรื่องทุจริต และไม่อยู่ในอำนาจกมธ.ป.ป.ช.
ประเด็นจึงบานปลายกลายเป็นข้อถกเถียงแบบ "เอาชนะคะคาน" กันด้วยข้อกฎหมาย ต่างฝ่ายต่าง "เอาคุก" มาขู่กัน ...
โดยฝ่าย "พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์" ย้ำว่า หากการเชิญ ครั้งที่ 2 ซึ่งกำหนดไว้ที่ วันที่ 6 พ.ย.นี้ แล้ว"บิ๊กตู่" ยังไม่มา ก็จะเชิญเป็นครั้งที่ 3 หากครั้งที่ 3 ยังไม่มา ก็จะใช้อำนาจตามกฎหมาย... ขณะที่กองเชียร์ของ "บิ๊กตู่" ก็เห็นว่า กฎหมายคำสั่งเรียกฯ มาตรา 12 นั้น บัญญัติว่า "กรรมาธิการผู้ใดปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหาย
แก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่หนึ่งปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
เรื่องนี้ "บิ๊กตู่" เคยตอบผู้สื่อข่าวว่า ไปหรือไม่ไป จะตัดสินใจเอง ...ก็ต้องจับตาว่า วันที่ 6 พ.ย.นี้ "บิ๊กตู่" จะไปชี้แจงต่อ กมธ.ป.ป.ช. หรือไม่